You Don't Have to be Lonely (When You Travel Alone) : โดดเดี่ยว แต่ไม่เปลี่ยวใจ เที่ยวคนเดียวยังไงไม่ให้เหงา
Travel December 04, 2015
หลังจากที่เราเขียนเล่าเรื่องทริปที่ไปเที่ยวยุโรปมาประมาณนึงแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องราวมันยังไม่จบแค่นั้น และจากประเทศ 4 ประเทศที่ไป เรายังเขียนไปได้แค่ประเทศเดียว เราก็จะพยายามเขียนออกมาให้เพื่อนๆ อ่านกันต่อไป อย่าเพิ่งเบื่อกัน รับรองว่ามีเรื่องสนุกๆ บ้าบอให้อ่านแน่นอน เหตุผลที่ต้องเขียนลงมาเพราะเราไม่อยากให้ความทรงจำต่างๆ ของเรามันเลือนหายไปโดยที่ไม่มีใครได้รู้ เราอยากจะเล่า และอยากให้มันเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจและความทรงจำร่วมกัน ถึงเราจะไม่ได้ไปด้วยกันก็ตาม
วันนี้เราอยากพูดถึงเรื่องนึงที่หลายคนน่าจะสนใจอยู่ไม่น้อย สำหรับคนที่มีความ Independent ในตัว หรืออาจอยากท้าทาย อยากออกไปเปิดโลกกว้าง อยากไปเที่ยวแต่เพื่อนแม่งช่วนยากเหลือกัน บางคนติดงาน ไม่มีเงินบ้าง นู่นนี่บ้าง ก็ไม่ต้องรอใคร เที่ยวคนเดียวไปเลย... เรื่องที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง พร้อมคำแนะนำนิดหน่อยก็คงหนีไม่พ้น "การเที่ยวคนเดียว" นั่นเอง
เที่ยวคนเดียวมันเป็นยังไง?
เที่ยวคนเดียวสำหรับเราเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทายมาก เพราะเมื่อก่อนเราเคยเป็นคนที่แค่จะไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทคนเดียวยังไม่กล้าเลย มีความเขินอายเบาๆ และมีความไม่มั่นใจ แต่แล้วพอโตมาเราก็อยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปไหนมาไหนไม่ต้องมาคอยคนเยอะๆ ไม่ต้องมาเสียเวลาแบบว่า เออๆ รออีนี่ก่อน นู่นนี่นั่น ก็คนเดียวเลย เราเพิ่งมาเป็นแบบนี้ไม่นานมานี้ ว่าอยู่คนเดียวไปไหนเองมันสะดวกสบายและไร้กังวลจริงๆ แต่ก็มีบ้างที่เหงา เนื่องจากเราเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ชอบรับแรงบันดาลใจมหาศาลจากการสนทนา บางครั้งการอยู่คนเดียวมากไปอาจหงอยได้ แต่มันแล้วแต่สถานการณ์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว "การเที่ยวคนเดียวแต่เจอเพื่อนระหว่างเดินทาง" คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย
แล้วต้องระวังตัวมากแค่ไหน?
เรื่องนี้เราไม่ค่อยนึกถึงมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะสะเพร่าหรือไม่แคร์หรือมองโลกในแง่ดีมากเกินไปก็ได้ เราไม่ค่อยมานั่งกังวลว่าไปนู่นไปนี่คนเดียวเราจะเจออะไรมั้ย เราแค่รู้สึกว่าใจเราอยากไป มันก็ต้องไป เราไม่กลัวการที่จะไปไหนและทำอะไรทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดคือรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร มีสติ แค่นั้นเอง ตอนเราอยู่สต๊อกโฮล์ม มีหลายครั้งที่เราต้องเดินกลับโฮสเทลคนเดียวตอนดึกๆ (ดึกมากเกือบเช้า ประมาณตี4) ใจจริงเราอยากให้เพื่อนมาส่งด้วย แต่ในเมื่อถ้ามันไม่มีใครแล้วเราก็ต้องดูแลตัวเอง เราเปิดแม็ปเดินจากผับกลับโฮสเทลแบบงงๆ ทางก็มืดๆ ไม่ค่อยมีคน แต่ตอนเราอยู่สวีเดนเรารู้สึกว่าประเทศเค้าปลอดภัยกว่าในไทยมาก ไฟที่ถนนมีตลอด ไม่ได้มืดจนน่ากลัวเหมือนหลายๆ ย่านในเมืองไทย เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องนึงของการเที่ยวก็คือ ถ้ามี smart phone ควรมีอินเตอร์เน็ต สำหรับเรามันจำเป็นจริงๆ อันดับแรกเลยคือแผนที่ ถ้าเรารู้ปลายทางของเราอยู่แล้ว แผนที่ช่วยได้หมด ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนๆ มีเน็ตไว้ไม่เสียหาย อีกเรื่องนึงคือมันเอาไว้ติดต่อกับคนด้วย เราเคยตอนอยู่บูดาเปสต์กับเพื่อนฝรั่งที่เที่ยวด้วยกัน (ไปเจอกันอีกที เดี๋ยวเล่าให้ฟัง) แล้วต้องนัดกับพี่สาวเพื่อน ปรากฏว่าพอไม่มีอินเตอร์เน็ตนัดค่อนข้างลำบาก ด้วยเวลาที่คลาดเคลื่อนกันจึงทำให้การมารอที่ๆ นัดกันไว้อาจงงๆ ว่าเขาจะมาตอนไหน ถึงไหนแล้ว อะไรก็ตาม อินเตอร์เน็ตสำคัญจริงๆ
การซื้อซิมการ์ดเพื่อเล่นเน็ตที่ต่างประเทศ อันนี้ราคาแล้วแต่ประเทศจริงๆ อย่างตอนเราไปสวีเดน เราอยู่ 1 เดือน ซื้อแบบประมาณ 800 บาทไทย sms ฟรี โทรฟรีกี่นาทีจำไม่ได้ (ซึ่งไม่ค่อยใช้) และอินเตอร์เน็ตประมาณ 4 GB ถ้าหมดก็เติมใหม่ได้ ราคาไม่ได้แพงเว่อร์ ส่วนตอนเราไปอิตาลี ไปอยู่ประมาณ 7 วัน ซื้อซิมประมาณพันกว่าบาท มีเน็ต มีโทรและ sms อันนี้ค่อนข้างแพง แต่ก็แล้วแต่จะจัดการตัวเอง ลองเช็คราคาก่อนไปประเทศนั้นๆ ดู อย่าหวังพึ่ง free wifi มาก เพราะมันไม่ได้มีทุกที่ (ที่ปารีสมีที่ starbucks และแรงพอใช้ได้)
ถ้าเหงาทำยังไงดี?
แน่นอนว่าการเที่ยวคนเดียวยังไงก็ต้องเหงา ยิ่งเราเป็นคนชอบชิคอะแชท คุยเม้ามอยกับคน เรายิ่งเหงาง่าย เราเพิ่งมาค้นพบว่าความจริงแล้วเราไม่ได้ชอบอยู่คนเดียวไปซะทุกเวลาก็ตอนที่ไปอยู่ที่เมืองคาร์ลสตัดที่สวีเดน อยู่ในบ้านที่ไกลออกไปจากตัวเมือง และไม่ค่อยมีคน วันๆ อยู่แต่กับต้นไม้ ป่า บลูเบอร์รี่และทะเลสาป คนที่ชอบปลีกวิเวกอย่างเราถึงกับหงอยคาบ้าน ภายหลังก็มารู้ว่าจริงๆ แล้วกูเนี่ยชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน และชอบรับแรงบันดาลใจมาจากการที่เห็นผู้คนเยอะๆ ทำนู่นทำนี่ สังเกตคน และจากบทสนทนาที่น่าสนใจ วันแรกที่เราไปถึงสต๊อกโฮล์มเราเอากระเป๋าไปฝากที่โฮสเทลก่อน เพราะยังเช็คอินไม่ได้ แต่ตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงเช้า และต้องกลับมาเช็คอินอีกทีบ่าย 2 ซึ่งพอเราเดินออกมาจากโฮสเทลหลังจากฝากกระเป๋าแล้ว สิ่งแรกที่คิดในหัวคือ "อีเหี้ยยยยย แล้วกูจะไปไหนเนี่ย???" หลังจากนั้นเลยนั่งรถไฟไปลงที่นู่นที่นี่มั่วๆ ถึงจะวางแผนมาบ้างแล้วว่าจะทำอะไร แต่ตอนนั้นคือเช้าไป เช้าเกินแพลน และเราเหงาจริงๆ ไปเดินเล่นที่เมืองเก่า gamla stan อยู่ประมาณชั่วโมงนึงก็หิว ซื้อแซนด์วิชเย็นๆ กับแฟนต้าแพงๆ มานั่งกินคนเดียว อ่ะ จะเล่าให้ฟังว่าหลังจากนั้นเราทำยังไง...
แนะนำแหล่งหาเพื่อนดีๆ
ในยุคสมัยที่มีอินเตอร์เน็ตมาเป็นหลักในการใช้ชีวิตของเราแบบนี้ คงจะหนีไม่พ้นการหาเพื่อนจากแอพและเว็บไซต์ต่างๆ เราจะแนะนำให้ฟังตามนี้.. แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอันนี้แล้วแต่ที่สนใจเลยนะ (โปรดใช้วิจารณญาณในการ 'หา' คน) 5555
1. Couchsurfing
เว็บนี้แนะนำมากที่สุดในสามโลก เพราะเป็นเว็บสำหรับคนที่ชอบเที่ยวและอยากหาที่พักฟรี ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า couch-surfing ประมาณว่านอนบนโซฟาเค้าอะไรงี้ ก็คือว่าเราต้องสมัครเว็บนี้ก่อน ให้มีตัวตน ควรอธิบายอะไรในหน้า profile เราหน่อยเพื่อความมน่าไว้ใจ แล้วเราก็แค่หาว่าเราจะไปประเทศไหน เมืองไหน เช่นอยากไป Stockholm - Sweden ก็พิมพ์ไปตามนี้ เลือกว่าจะหาอะไร แล้วดูที่โปรไฟล์เค้า จะมีขึ้นตามนี้..
-Accepting Guests
อันนี้คือเค้ารับให้เราไปนอนที่บ้านเค้าได้ ซึ่งมันจะมีให้กดเข้าไปดูว่าบ้านเค้าเป็นยังไง ให้นอนบนโซฟา หรือมีห้องนอนให้ เค้าจะอธิบายอย่างละเอียดว่าเค้าสามารถรับได้กี่คน บ้านเค้ามีใคร มีสัตว์มั้ย มีอะไรเสนอให้เราได้บ้าง บางบ้านจะมีห้องให้นอนเลย มีผ้าปู มีผ้าห่ม คือทุกอย่างเราสามารถถามได้ ควรถามอย่างละเอียดเพื่อตัวเราเอง
-Maybe Accepting Guests
อาจจะรับให้เราไปนอนได้ อันนี้ต้องถามกันอีกที บางคนอาจไม่ว่างหรือไม่อยู่ช่วงนั้น ช่วงหน้าร้อนจะหายากมากเพราะพวกฝรั่งจะไปเที่ยวยาวๆ ที่ต่างประเทศกัน และเป็น high season ถ้ามีโฮสต์ เราก็ต้องลุ้นเพราะมีคนหลายคนอยากหาที่พักฟรีไม่น้อย
-Not Accepting Guests
ไม่รับแขกตอนนี้ แต่ถ้าสนใจโปรไฟล์เค้าจริง (บางคนเขียนโปรไฟล์น่าสนใจ และน่าแฮงเอาท์ด้วยมาก) ก็ส่งข้อความไปคุยกัน
-Wants to Meet Up
อันนี้เหมือนโปรไฟล์ของเราเอง คือเราไม่มีที่ให้ใครมานอนบ้านเรา แต่เราอยากพาเค้าเที่ยว เรายินดีพาเที่ยว ไปนู่นนี่ได้ แต่ต้องตกลงกันอีกทีว่าอยากไปวันไหน ทำอะไร นู่นนี่นั่น ข้อดีของเว็บนี้คือคนที่ชอบเที่ยวและชอบเจอผู้คนจะสามารถเจอคนเจ๋งๆ ใหม่ๆ จากทั่วโลกได้ และเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยากเลย ขอบอกว่าคนที่เล่นเว็บนี้ ส่วนมากจะเป็นพวก open minded คือคุยง่าย ใจกว้างและชอบอะไรเหมือนๆ กัน เพราะคนที่ชอบเที่ยวลุยๆ ส่วนมากจะค่อนข้างมองโลกในแง่ดีนะ จากความคิดเรา
เราเจอเพื่อนเยอะมากจาก couchsurfing ที่ wants to meet up และแต่ละคนคือนิสัยดีมากกกกกก (เฉพาะคนสวีเดนนะ เพราะเราไม่มีเวลาเจอคนอื่นในประเทศอื่น) ทุกคนมีความอยากพาเที่ยวจริงๆ เอาใจใส่ เทคแคร์ดีมากๆ คนพวกนี้จะช่วยเราวางแผนก่อนมาเที่ยวได้ และใน cs เองจะมีพวกอีเวนต์ต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเราสามารถไปร่วมกับพวกเค้าได้ เพื่อหาเพื่อนใหม่ สังคมในเว็บไม่กว้างมากเลยเจอกันรู้จักกันง่าย อบอุ่นและไว้ใจได้ ที่เราไปสต๊อกโฮล์มมาได้ทั้งพักกับบ้านเพื่อนสวีเดนคนนึง ได้เพื่อนอีกคนพาเที่ยว อีกสองคนจากสวิสที่เพิ่งมาสต๊อกโฮล์ม เราเลยพากันเที่ยว และป้าอายุ 50 กว่าๆ ที่พาเราเที่ยว และอีกหลายๆ คนที่น่าสนใจและใจดีมาก ทุกวันนี้หลายคนในนั้นยังคงติดต่อกันอยู่ รักมากๆ
สุดท้ายแล้ว ความน่าไว้วางใจของ couchsurfing ควรจะดูจากโปรไฟล์ของคนๆ นั้น และดูที่ references เค้าจะมี feedback จากแขกของเค้า หรือคนที่เค้าเจอเขียนลงไปในนั้น ว่าคนๆ นั้นเป็นยังไง เราอ่านจากตรงนี้ได้ และอีกเรื่องนึงคืออยากให้คุยกันก่อน ส่งข้อความไป การคุยกันแค่นี้เราก็จะรู้ได้ในระดับนึงแล้วว่าเราควรไว้ใจเค้ามากแค่ไหน ประสบการณ์ของเราเคยไปนอนที่บ้านสาวที่สต๊อกโฮล์มคนนึงมา นางใจดีมาก น่ารักมากๆ บ้านเค้ามีห้องให้เรานอน และได้นอนบนเตียงใหญ่ ไปถึงเค้าก็ปูผ้าให้เรา พาเราไปเที่ยว (ถ้าพวกนี้มีเวลาเค้าจะพาเราเที่ยวได้) หรือแม้กระทั่งชวนกันทำอาหาร และสิ่งนึงที่น่าประหลาดใจคือ นางกล้าทิ้งเราไว้ในอพาร์ทเมนต์นางคนเดียว โดยที่ในห้องก็มีคอม มีของนู่นนี่นั่น และไม่กลัวว่าเราจะขโมยของหรืออะไรเลย ซึ่งเราไม่ทำอยู่แล้ว แต่ที่เรางงและทึ่งกับการที่นางไว้ใจเราก็คือ อะไรทำให้นางไว้ใจกูขนาดนี้วะเนี่ยยยยยย อ้อ.. อีกอย่างนึงก็คือ เดี๋ยวนี้เว็บ couchsurfing เริ่มแอบจะเป็น dating site กลายๆ สำหรับใครบางคนแล้ว มีหลายคนที่หวังอะไรจากเว็บนี้ไม่น้อย อันนี้ก็สุดแล้วแต่จะคุยกัน แต่หลายคนไม่ค่อยพอใจที่เว็บนี้มันเหมือนเว็บหาคู่ไปซะทุกที ถ้าคุณมีโปรไฟล์ในเว็บนี้ ขอบอกเลยว่าระวังพวกผู้ชายแขกแมสเสจมาชวนเที่ยว... ไม่ต้องไปตอบมัน เอาที่สบายใจ เว็บนี้ยังมีคนดีที่น่าสนใจอีกเยอะ เชื่อเรา
2. Tinder
อย่าเพิ่งด่าเรา 5555 แต่สมัยนี้ไม่มีใครไม่เล่นทินเดอร์ หรือว่าไม่จริง? โอเค 99% ของคนที่เล่นแอพนี้ คือหาคู่ (คู่นอน คู่เที่ยว และอะไรก็ว่าไป) แต่ขอบอกว่าอีพวกที่บอกว่า "ชั้นเล่นทินเดอร์เพื่อหาเพื่อนเท่านั้นนะ โน dating" ขี้โม้ทั้งนั้นค่าาาาาาาาาาาาาาาาาา อ่ะ เข้าเรื่องกัน เราใช้ทินเดอร์ที่สวีเดน (และทุกที่) และเจอเพื่อนที่น่าสนใจเยอะ ซึ่งเอาจริงๆ เราไปถึงประเทศนั้นๆ แล้ว ใจนึงเราก็อยากหาเพื่อนเที่ยวแน่ๆ และผลพลอยได้อื่นนอกจากนั้นก็แล้วแต่สวรรค์จะโปรดมา บางครั้งเราสามารถเจอคนดีๆ จากแอพนี้ได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ด้วย
อยากเล่า : ทินเดอร์ทำให้เราเจอเพื่อนคนนึงที่ต่างจังหวัดของสวีเดน วันนั้นเรานัดกันไปเที่ยว และนางก็พาเราไปเที่ยวจริงๆ พาไปนั่งเรือชมเมือง ไปสวนสัตว์ พาไปบ้านเจอพ่อแม่ ไปกินเค้ก กินพิซซ่า และขับรถพาเราไปเล่นน้ำที่ทะเลสาป ขอบอกว่าบางครั้งชีวิตเราก็เจอคนวิเศษๆ ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ และถ้าสงสัย เราก็จะตอบให้ว่า คนนี้เป็น 'เพื่อน' จริงๆ ที่เจอจากทินเดอร์ ไม่ใช่คู่นอนหรือคู่เดทอะไรทั้งนั้น
3. Okcupid
แอพนี้ชื่อน่าเกลียดมากๆ เราเกลียดมันตั้งแต่ชื่อ และเวลาเปิดแอพขึ้นมาก็ต้องหลบๆ คน เพราะอายชื่อ 555 ไม่ต้องสงสัยว่าแอพนี้คืออะไร ดูจากชื่อก็น่าจะเข้าใจว่ามันคงคล้ายกับทินเดอร์ โดยส่วนตัวแล้วตัวเราเจอเพื่อนดีๆ จากแอพนี้เยอะมาก และที่สวีเดนเราเจอกับเพื่อน 2 คน คนนึงกลายมาเป็นเพื่อนจริงๆ เพื่อนที่ดีและดีใจมากที่ได้เจอนาง เราก็ไม่ได้อยากแนะนำมาก ถ้าใครที่ไม่ได้อยากจะหาใครคงไม่ได้อยากโหลดแอพแบบนี้ แต่แค่บอกว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ ได้ บางครั้งเราไม่ได้มีโอกาสรู้จักคนที่เราเดินผ่าน หรืออยู่ๆ จะเดินไปทักใครว่า "เธอๆ เราเหงา ไปเที่ยวเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ" ยอมรับเถอะว่าแอพแบบนี้มันก็มีดีเหมือนกันแหละน่า
อยากเล่า : เพื่อนที่เราเจอจากแอพนี้ ที่เป็นคนสวีเดน นางใจดีมาก เราจะเสียใจมากถ้าไม่ได้รู้จักกับนาง บางครั้งก็แปลกดีเนอะชีวิตพาใครดีๆ เข้ามาให้รู้จักเยอะเหมือนกัน เพื่อนคนนี้มาหาเราวันแรกที่เราไปถึงสต๊อกโฮล์ม เป็นคนแรกที่พาเราไปเที่ยว ไปดูนู่นนี่ นั่งกินสลัดกันริมน้ำ มองเป็ด มองเมือง พาไปบาร์ไวกิ้งที่เราจะไม่มีวันรู้จักถ้าไม่เจอนาง... และตอนนี้ยังติดต่อเป็นเพื่อนกันอยู่ มีการคุยติดต่อกันตลอด
4. Facebook
สมัยนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเฟสบุคกันถ้วนหน้า เรามีเรื่องราวที่น่าประทับใจเรื่องนึงที่อยากเล่าให้ฟัง แต่จะเล่ายาวๆ ในบันทึกต่อๆ ไป คือเรื่องของการเจอเพื่อนต่างชาติ แปลกหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อ นไม่มีเพื่อนร่วมกันใดๆ ทั้งสิ้น แต่เจอโดยบังเอิญในเฟสบุค เราจะเล่าย่อๆ แล้วกันว่าเราเจอ 'อลิซ' เพื่อนชาวอิตาลีจากการที่นางมาแอดเราในเฟสเมื่อ 4 ปีที่แล้วโดยไม่มีเพื่อนร่วมกันแม้แต่นิด สาเหตุคือ เรากดไลค์เพจวงดนตรีที่ชอบเหมือนกัน และเราคงไปเม้นอะไรในเพจนั้น อลิซเลยสนใจและแอดเรามา แรกๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่ก็ดูออกว่าอลิซเป็นคนที่มีความสนใจในหลายๆ เรื่องเหมือนเรามาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะ และอื่นๆ เราคุยบ้างไม่คุยบ้างมาตลอด 4 ปี จนหลังๆ เรามีการแลกที่อยู่ส่งจดหมายและส่งของหากัน (penpal) จนวันนึง เราเอ่ยปากว่าเราจะไปเที่ยวยุโรปคนเดียว และจะไปบูดาเปสต์ อลิซบอกว่าเคยไป และอยากไปด้วย และในที่สุดเราก็ไปเจอกันที่บูดาเปสต์ หลายคนประหลาดใจว่าทำไมเรากล้าไปเจอ กล้าเที่ยวคนเดียวก็ดูกล้าพอแล้ว นี่กล้าไปเจอเพื่อนในเน็ตที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย ทำไม? เรารู้สึกว่า คนเราสมัยนี้ ต่อให้ไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่การได้คุยกัน เชื่อมโยงต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ตและหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการคุยทาง skype หรือการส่งจดหมายแลกเปลี่ยนความรู้สึกผ่านสิ่งของ เราว่ามันพอจะบอกได้ถึงความจริงใจและความรู้สึกบางอย่าง ถึงแม้อาจจะไม่ทั้งหมด แต่เรารู้สึกไว้ใจและอบอุ่น และเราก็ 'เลือก' ที่จะให้เค้ากลายเป็นเพื่อนของเรา และนาทีแรกที่เราเจอกัน เราไม่รู้สึกแปลกใหม่เลย เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว :)
ข้อแนะนำ : หลายคนชอบถามว่าเราหาเพื่อนได้ยังไง ถ้าสำหรับเฟสบุค บอกเลยว่ามันไม่ง่าย เคสอลิซนี้เราว่ามันเป็นโชคชะตาจริงๆ ไม่ได้งมงายเรื่องพวกนี้นะ แต่เราเคยพยายามจะลองหาเพื่อนใหม่คนอื่นจากประเทศอื่นๆ มันไม่ง่ายเลย เพราะการที่เราจะไปเจอใครจากเพจไหน แล้วแอด แล้วพยายามคุยทางข้อความ มันไม่ใช่ทุกคนที่จะคุยตอบกับเราและยอม connect กับใจเราง่ายๆ เรื่องแบบนี้อยู่ที่จังหวะ โชคชะตา แต่ถ้าอยากได้เพื่อนเร็วๆ จริงๆ ย้อนไปที่ข้อ 1 2 และ 3
5. โชคชะตาฟ้าลิขิต (หรือความแรนด้อม)
เราเชื่อว่าการที่เรารู้จักกับใครสักคน เจอกับใครสักคน และคนนั้นกลายมาเป็น 'คนๆ นึง' ในชีวิตเรา ที่ไม่ใช่แค่ผ่านพ้นไป มันคือโชคชะตาจริงๆ มันอาจดูเป็นความบังเอิญ แต่ก็เหมือนบนฟ้าอาจตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น ตอนเราอยู่ที่บูดาเปสต์กับอลิซ เพื่อนของอลิซคนนึง (ที่อลิซเจอและทำความรู้จักบนรถไฟตอนมาที่เมืองนั้น) พาไปเที่ยวผับแนวๆ ที่วัยรุ่นชอบไป คืนนั้นเราไปกัน 3 คน แต่อยู่ไปอยู่มากลายเป็นมีเพื่อนเป็นสิบๆ คน และหนึ่งในนั้นกลายเป็นเพื่อนที่พาเราเที่ยวทุกวันในปารีส (ทริปถัดมาที่ต้องเที่ยวคนเดียวอีกครั้ง) เราชอบวันนั้นมาก คือพวกเราไปกัน 3 คน แต่ไปๆ มาๆ พอเรานั่งลง มีคนเดินไปเดินมา เราก็ชวนคุย ชวนมานั่งด้วย ชวนกินเบียร์ ชวนเล่นเกม นู่นนี่นั่น จนเรารู้จักเพื่อนใหม่เยอะมาก และมาจากทั่วโลก เราเจอเจเรมี่ หนุ่มฝรั่งเศสที่มากับเพื่อนสาวสองคน เจเรมี่กำลังเมานิดๆ พวกเราเกรียนๆ กันได้ที่ จนสุดท้ายเราคุยกันเรื่องแผนที่ และทางกลับโฮสเทล เราพูดกับเจเรมี่ว่าเราจะไปปารีสในอีกสองวันข้างหน้า ไปคนเดียว เจเรมี่มาจากปารีสเลยให้เบอร์โทรและอีเมลกับเราไว้ เราคิดในใจว่ามันคงเมา หลังวันนี้มันคงลืมแล้วมั้ง แต่แล้วพอเราไปถึงปารีส คนที่มารับเราและพาขึ้นรถไฟไปที่โฮสเทลก็คือเจเรมี่ ทุกอย่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเราและน่าประทับใจมาก จากที่ไม่เคยแพลนว่าจะไปไหนทำอะไรในปารีส กลายเป็นว่าเจเรมี่ลางานเพื่อมาพาเราเที่ยว 4 วัน พาไปดูนู่นนี่ พาไปกินนั่นนี่ ช่วยเหลือทุกอย่าง และในสี่วันนั้นเราก็เจอกับเพื่อนอีกคนที่พักที่โฮสเทลเดียวกัน หลังจากนั้นเราสามคนเลยเที่ยวสนุกกันตลอดทริป เป็นความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้ว การออกเดินทางสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม หรือกับใครก็ตาม มันไม่ได้สำคัญว่าเราจะเก็บประเทศได้เยอะแค่ไหน แต่สำหรับชีวิตเราและความคิดเรา เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เราเจอระหว่างการท่องเที่ยว วิวสวย เมืองสวยก็เป็นอีกเรื่องนึ แต่ที่เราประทับใจมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อเรามากที่สุดก็คือมิตรภาพและการปฏิสัมพันธ์กันของมนุษย์ เราชอบในความที่คนเราหาจุดเชื่อมต่อเข้าหากันได้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดผ่านทางคำพูด วิธีที่มนุษย์ทำความรู้จักกันมันมีเสน่ห์และเป็นปริศนาให้น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา
ที่แนะนำมาทั้งหมดนี้ อาจไม่ได้ทำให้ใครถูกใจมากนัก (เพราะแม่งมีพวกแอพหาคู่ด้วย 5555) แต่คิดว่าอย่างน้อยน่าจะได้ให้อะไรกับคนอ่านได้บ้าง ช่วงนี้เราหาเวลาเที่ยวไม่ได้เลย แต่ในหัวพยายามคิด วางแผนและเก็บเงินอยู่ตลอด และคิดว่าปีหน้าเราจะกลับไปเที่ยวอีกครั้ง อาจไปคนเดียว หรืออาจมีคนตามไปด้วยก็ได้ :)
ปล. ใครอยากมีกิ๊ก พูดเลยว่าไปคนเดียวสบายที่สุด ไม่ต้องเกรงใจใคร 55555555555
อ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว มีใครยังไม่อ่านตอนก่อนๆ บ้าง?
รีบอ่านเลย ตั้งแต่ตอนแรกเลยก็ดี :)
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
ตอนที่ 1-2
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_7.html
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_9.html
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/0-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-0.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 1
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/1-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-1.html
ตอนล่าสุด.. ชีวิตน่ารักๆ ในฟาร์มที่อุปซอลา, สวีเดน
http://mayajett.blogspot.com/2015/11/deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-2.html
วันนี้เราอยากพูดถึงเรื่องนึงที่หลายคนน่าจะสนใจอยู่ไม่น้อย สำหรับคนที่มีความ Independent ในตัว หรืออาจอยากท้าทาย อยากออกไปเปิดโลกกว้าง อยากไปเที่ยวแต่เพื่อนแม่งช่วนยากเหลือกัน บางคนติดงาน ไม่มีเงินบ้าง นู่นนี่บ้าง ก็ไม่ต้องรอใคร เที่ยวคนเดียวไปเลย... เรื่องที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง พร้อมคำแนะนำนิดหน่อยก็คงหนีไม่พ้น "การเที่ยวคนเดียว" นั่นเอง
'Steps' taken in Budapest
เที่ยวคนเดียวมันเป็นยังไง?
เที่ยวคนเดียวสำหรับเราเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทายมาก เพราะเมื่อก่อนเราเคยเป็นคนที่แค่จะไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทคนเดียวยังไม่กล้าเลย มีความเขินอายเบาๆ และมีความไม่มั่นใจ แต่แล้วพอโตมาเราก็อยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปไหนมาไหนไม่ต้องมาคอยคนเยอะๆ ไม่ต้องมาเสียเวลาแบบว่า เออๆ รออีนี่ก่อน นู่นนี่นั่น ก็คนเดียวเลย เราเพิ่งมาเป็นแบบนี้ไม่นานมานี้ ว่าอยู่คนเดียวไปไหนเองมันสะดวกสบายและไร้กังวลจริงๆ แต่ก็มีบ้างที่เหงา เนื่องจากเราเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ชอบรับแรงบันดาลใจมหาศาลจากการสนทนา บางครั้งการอยู่คนเดียวมากไปอาจหงอยได้ แต่มันแล้วแต่สถานการณ์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว "การเที่ยวคนเดียวแต่เจอเพื่อนระหว่างเดินทาง" คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย
แล้วต้องระวังตัวมากแค่ไหน?
เรื่องนี้เราไม่ค่อยนึกถึงมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะสะเพร่าหรือไม่แคร์หรือมองโลกในแง่ดีมากเกินไปก็ได้ เราไม่ค่อยมานั่งกังวลว่าไปนู่นไปนี่คนเดียวเราจะเจออะไรมั้ย เราแค่รู้สึกว่าใจเราอยากไป มันก็ต้องไป เราไม่กลัวการที่จะไปไหนและทำอะไรทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดคือรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร มีสติ แค่นั้นเอง ตอนเราอยู่สต๊อกโฮล์ม มีหลายครั้งที่เราต้องเดินกลับโฮสเทลคนเดียวตอนดึกๆ (ดึกมากเกือบเช้า ประมาณตี4) ใจจริงเราอยากให้เพื่อนมาส่งด้วย แต่ในเมื่อถ้ามันไม่มีใครแล้วเราก็ต้องดูแลตัวเอง เราเปิดแม็ปเดินจากผับกลับโฮสเทลแบบงงๆ ทางก็มืดๆ ไม่ค่อยมีคน แต่ตอนเราอยู่สวีเดนเรารู้สึกว่าประเทศเค้าปลอดภัยกว่าในไทยมาก ไฟที่ถนนมีตลอด ไม่ได้มืดจนน่ากลัวเหมือนหลายๆ ย่านในเมืองไทย เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องนึงของการเที่ยวก็คือ ถ้ามี smart phone ควรมีอินเตอร์เน็ต สำหรับเรามันจำเป็นจริงๆ อันดับแรกเลยคือแผนที่ ถ้าเรารู้ปลายทางของเราอยู่แล้ว แผนที่ช่วยได้หมด ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนๆ มีเน็ตไว้ไม่เสียหาย อีกเรื่องนึงคือมันเอาไว้ติดต่อกับคนด้วย เราเคยตอนอยู่บูดาเปสต์กับเพื่อนฝรั่งที่เที่ยวด้วยกัน (ไปเจอกันอีกที เดี๋ยวเล่าให้ฟัง) แล้วต้องนัดกับพี่สาวเพื่อน ปรากฏว่าพอไม่มีอินเตอร์เน็ตนัดค่อนข้างลำบาก ด้วยเวลาที่คลาดเคลื่อนกันจึงทำให้การมารอที่ๆ นัดกันไว้อาจงงๆ ว่าเขาจะมาตอนไหน ถึงไหนแล้ว อะไรก็ตาม อินเตอร์เน็ตสำคัญจริงๆ
การซื้อซิมการ์ดเพื่อเล่นเน็ตที่ต่างประเทศ อันนี้ราคาแล้วแต่ประเทศจริงๆ อย่างตอนเราไปสวีเดน เราอยู่ 1 เดือน ซื้อแบบประมาณ 800 บาทไทย sms ฟรี โทรฟรีกี่นาทีจำไม่ได้ (ซึ่งไม่ค่อยใช้) และอินเตอร์เน็ตประมาณ 4 GB ถ้าหมดก็เติมใหม่ได้ ราคาไม่ได้แพงเว่อร์ ส่วนตอนเราไปอิตาลี ไปอยู่ประมาณ 7 วัน ซื้อซิมประมาณพันกว่าบาท มีเน็ต มีโทรและ sms อันนี้ค่อนข้างแพง แต่ก็แล้วแต่จะจัดการตัวเอง ลองเช็คราคาก่อนไปประเทศนั้นๆ ดู อย่าหวังพึ่ง free wifi มาก เพราะมันไม่ได้มีทุกที่ (ที่ปารีสมีที่ starbucks และแรงพอใช้ได้)
ถ้าเหงาทำยังไงดี?
แน่นอนว่าการเที่ยวคนเดียวยังไงก็ต้องเหงา ยิ่งเราเป็นคนชอบชิคอะแชท คุยเม้ามอยกับคน เรายิ่งเหงาง่าย เราเพิ่งมาค้นพบว่าความจริงแล้วเราไม่ได้ชอบอยู่คนเดียวไปซะทุกเวลาก็ตอนที่ไปอยู่ที่เมืองคาร์ลสตัดที่สวีเดน อยู่ในบ้านที่ไกลออกไปจากตัวเมือง และไม่ค่อยมีคน วันๆ อยู่แต่กับต้นไม้ ป่า บลูเบอร์รี่และทะเลสาป คนที่ชอบปลีกวิเวกอย่างเราถึงกับหงอยคาบ้าน ภายหลังก็มารู้ว่าจริงๆ แล้วกูเนี่ยชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน และชอบรับแรงบันดาลใจมาจากการที่เห็นผู้คนเยอะๆ ทำนู่นทำนี่ สังเกตคน และจากบทสนทนาที่น่าสนใจ วันแรกที่เราไปถึงสต๊อกโฮล์มเราเอากระเป๋าไปฝากที่โฮสเทลก่อน เพราะยังเช็คอินไม่ได้ แต่ตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงเช้า และต้องกลับมาเช็คอินอีกทีบ่าย 2 ซึ่งพอเราเดินออกมาจากโฮสเทลหลังจากฝากกระเป๋าแล้ว สิ่งแรกที่คิดในหัวคือ "อีเหี้ยยยยย แล้วกูจะไปไหนเนี่ย???" หลังจากนั้นเลยนั่งรถไฟไปลงที่นู่นที่นี่มั่วๆ ถึงจะวางแผนมาบ้างแล้วว่าจะทำอะไร แต่ตอนนั้นคือเช้าไป เช้าเกินแพลน และเราเหงาจริงๆ ไปเดินเล่นที่เมืองเก่า gamla stan อยู่ประมาณชั่วโมงนึงก็หิว ซื้อแซนด์วิชเย็นๆ กับแฟนต้าแพงๆ มานั่งกินคนเดียว อ่ะ จะเล่าให้ฟังว่าหลังจากนั้นเราทำยังไง...
my two boys in Paris
สองหนุ่มที่เที่ยวด้วยกันที่ปารีส
แนะนำแหล่งหาเพื่อนดีๆ
ในยุคสมัยที่มีอินเตอร์เน็ตมาเป็นหลักในการใช้ชีวิตของเราแบบนี้ คงจะหนีไม่พ้นการหาเพื่อนจากแอพและเว็บไซต์ต่างๆ เราจะแนะนำให้ฟังตามนี้.. แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอันนี้แล้วแต่ที่สนใจเลยนะ (โปรดใช้วิจารณญาณในการ 'หา' คน) 5555
1. Couchsurfing
เว็บนี้แนะนำมากที่สุดในสามโลก เพราะเป็นเว็บสำหรับคนที่ชอบเที่ยวและอยากหาที่พักฟรี ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า couch-surfing ประมาณว่านอนบนโซฟาเค้าอะไรงี้ ก็คือว่าเราต้องสมัครเว็บนี้ก่อน ให้มีตัวตน ควรอธิบายอะไรในหน้า profile เราหน่อยเพื่อความมน่าไว้ใจ แล้วเราก็แค่หาว่าเราจะไปประเทศไหน เมืองไหน เช่นอยากไป Stockholm - Sweden ก็พิมพ์ไปตามนี้ เลือกว่าจะหาอะไร แล้วดูที่โปรไฟล์เค้า จะมีขึ้นตามนี้..
-Accepting Guests
อันนี้คือเค้ารับให้เราไปนอนที่บ้านเค้าได้ ซึ่งมันจะมีให้กดเข้าไปดูว่าบ้านเค้าเป็นยังไง ให้นอนบนโซฟา หรือมีห้องนอนให้ เค้าจะอธิบายอย่างละเอียดว่าเค้าสามารถรับได้กี่คน บ้านเค้ามีใคร มีสัตว์มั้ย มีอะไรเสนอให้เราได้บ้าง บางบ้านจะมีห้องให้นอนเลย มีผ้าปู มีผ้าห่ม คือทุกอย่างเราสามารถถามได้ ควรถามอย่างละเอียดเพื่อตัวเราเอง
-Maybe Accepting Guests
อาจจะรับให้เราไปนอนได้ อันนี้ต้องถามกันอีกที บางคนอาจไม่ว่างหรือไม่อยู่ช่วงนั้น ช่วงหน้าร้อนจะหายากมากเพราะพวกฝรั่งจะไปเที่ยวยาวๆ ที่ต่างประเทศกัน และเป็น high season ถ้ามีโฮสต์ เราก็ต้องลุ้นเพราะมีคนหลายคนอยากหาที่พักฟรีไม่น้อย
-Not Accepting Guests
ไม่รับแขกตอนนี้ แต่ถ้าสนใจโปรไฟล์เค้าจริง (บางคนเขียนโปรไฟล์น่าสนใจ และน่าแฮงเอาท์ด้วยมาก) ก็ส่งข้อความไปคุยกัน
-Wants to Meet Up
อันนี้เหมือนโปรไฟล์ของเราเอง คือเราไม่มีที่ให้ใครมานอนบ้านเรา แต่เราอยากพาเค้าเที่ยว เรายินดีพาเที่ยว ไปนู่นนี่ได้ แต่ต้องตกลงกันอีกทีว่าอยากไปวันไหน ทำอะไร นู่นนี่นั่น ข้อดีของเว็บนี้คือคนที่ชอบเที่ยวและชอบเจอผู้คนจะสามารถเจอคนเจ๋งๆ ใหม่ๆ จากทั่วโลกได้ และเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยากเลย ขอบอกว่าคนที่เล่นเว็บนี้ ส่วนมากจะเป็นพวก open minded คือคุยง่าย ใจกว้างและชอบอะไรเหมือนๆ กัน เพราะคนที่ชอบเที่ยวลุยๆ ส่วนมากจะค่อนข้างมองโลกในแง่ดีนะ จากความคิดเรา
เราเจอเพื่อนเยอะมากจาก couchsurfing ที่ wants to meet up และแต่ละคนคือนิสัยดีมากกกกกก (เฉพาะคนสวีเดนนะ เพราะเราไม่มีเวลาเจอคนอื่นในประเทศอื่น) ทุกคนมีความอยากพาเที่ยวจริงๆ เอาใจใส่ เทคแคร์ดีมากๆ คนพวกนี้จะช่วยเราวางแผนก่อนมาเที่ยวได้ และใน cs เองจะมีพวกอีเวนต์ต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเราสามารถไปร่วมกับพวกเค้าได้ เพื่อหาเพื่อนใหม่ สังคมในเว็บไม่กว้างมากเลยเจอกันรู้จักกันง่าย อบอุ่นและไว้ใจได้ ที่เราไปสต๊อกโฮล์มมาได้ทั้งพักกับบ้านเพื่อนสวีเดนคนนึง ได้เพื่อนอีกคนพาเที่ยว อีกสองคนจากสวิสที่เพิ่งมาสต๊อกโฮล์ม เราเลยพากันเที่ยว และป้าอายุ 50 กว่าๆ ที่พาเราเที่ยว และอีกหลายๆ คนที่น่าสนใจและใจดีมาก ทุกวันนี้หลายคนในนั้นยังคงติดต่อกันอยู่ รักมากๆ
สุดท้ายแล้ว ความน่าไว้วางใจของ couchsurfing ควรจะดูจากโปรไฟล์ของคนๆ นั้น และดูที่ references เค้าจะมี feedback จากแขกของเค้า หรือคนที่เค้าเจอเขียนลงไปในนั้น ว่าคนๆ นั้นเป็นยังไง เราอ่านจากตรงนี้ได้ และอีกเรื่องนึงคืออยากให้คุยกันก่อน ส่งข้อความไป การคุยกันแค่นี้เราก็จะรู้ได้ในระดับนึงแล้วว่าเราควรไว้ใจเค้ามากแค่ไหน ประสบการณ์ของเราเคยไปนอนที่บ้านสาวที่สต๊อกโฮล์มคนนึงมา นางใจดีมาก น่ารักมากๆ บ้านเค้ามีห้องให้เรานอน และได้นอนบนเตียงใหญ่ ไปถึงเค้าก็ปูผ้าให้เรา พาเราไปเที่ยว (ถ้าพวกนี้มีเวลาเค้าจะพาเราเที่ยวได้) หรือแม้กระทั่งชวนกันทำอาหาร และสิ่งนึงที่น่าประหลาดใจคือ นางกล้าทิ้งเราไว้ในอพาร์ทเมนต์นางคนเดียว โดยที่ในห้องก็มีคอม มีของนู่นนี่นั่น และไม่กลัวว่าเราจะขโมยของหรืออะไรเลย ซึ่งเราไม่ทำอยู่แล้ว แต่ที่เรางงและทึ่งกับการที่นางไว้ใจเราก็คือ อะไรทำให้นางไว้ใจกูขนาดนี้วะเนี่ยยยยยย อ้อ.. อีกอย่างนึงก็คือ เดี๋ยวนี้เว็บ couchsurfing เริ่มแอบจะเป็น dating site กลายๆ สำหรับใครบางคนแล้ว มีหลายคนที่หวังอะไรจากเว็บนี้ไม่น้อย อันนี้ก็สุดแล้วแต่จะคุยกัน แต่หลายคนไม่ค่อยพอใจที่เว็บนี้มันเหมือนเว็บหาคู่ไปซะทุกที ถ้าคุณมีโปรไฟล์ในเว็บนี้ ขอบอกเลยว่าระวังพวกผู้ชายแขกแมสเสจมาชวนเที่ยว... ไม่ต้องไปตอบมัน เอาที่สบายใจ เว็บนี้ยังมีคนดีที่น่าสนใจอีกเยอะ เชื่อเรา
2. Tinder
อย่าเพิ่งด่าเรา 5555 แต่สมัยนี้ไม่มีใครไม่เล่นทินเดอร์ หรือว่าไม่จริง? โอเค 99% ของคนที่เล่นแอพนี้ คือหาคู่ (คู่นอน คู่เที่ยว และอะไรก็ว่าไป) แต่ขอบอกว่าอีพวกที่บอกว่า "ชั้นเล่นทินเดอร์เพื่อหาเพื่อนเท่านั้นนะ โน dating" ขี้โม้ทั้งนั้นค่าาาาาาาาาาาาาาาาาา อ่ะ เข้าเรื่องกัน เราใช้ทินเดอร์ที่สวีเดน (และทุกที่) และเจอเพื่อนที่น่าสนใจเยอะ ซึ่งเอาจริงๆ เราไปถึงประเทศนั้นๆ แล้ว ใจนึงเราก็อยากหาเพื่อนเที่ยวแน่ๆ และผลพลอยได้อื่นนอกจากนั้นก็แล้วแต่สวรรค์จะโปรดมา บางครั้งเราสามารถเจอคนดีๆ จากแอพนี้ได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ด้วย
อยากเล่า : ทินเดอร์ทำให้เราเจอเพื่อนคนนึงที่ต่างจังหวัดของสวีเดน วันนั้นเรานัดกันไปเที่ยว และนางก็พาเราไปเที่ยวจริงๆ พาไปนั่งเรือชมเมือง ไปสวนสัตว์ พาไปบ้านเจอพ่อแม่ ไปกินเค้ก กินพิซซ่า และขับรถพาเราไปเล่นน้ำที่ทะเลสาป ขอบอกว่าบางครั้งชีวิตเราก็เจอคนวิเศษๆ ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ และถ้าสงสัย เราก็จะตอบให้ว่า คนนี้เป็น 'เพื่อน' จริงๆ ที่เจอจากทินเดอร์ ไม่ใช่คู่นอนหรือคู่เดทอะไรทั้งนั้น
3. Okcupid
แอพนี้ชื่อน่าเกลียดมากๆ เราเกลียดมันตั้งแต่ชื่อ และเวลาเปิดแอพขึ้นมาก็ต้องหลบๆ คน เพราะอายชื่อ 555 ไม่ต้องสงสัยว่าแอพนี้คืออะไร ดูจากชื่อก็น่าจะเข้าใจว่ามันคงคล้ายกับทินเดอร์ โดยส่วนตัวแล้วตัวเราเจอเพื่อนดีๆ จากแอพนี้เยอะมาก และที่สวีเดนเราเจอกับเพื่อน 2 คน คนนึงกลายมาเป็นเพื่อนจริงๆ เพื่อนที่ดีและดีใจมากที่ได้เจอนาง เราก็ไม่ได้อยากแนะนำมาก ถ้าใครที่ไม่ได้อยากจะหาใครคงไม่ได้อยากโหลดแอพแบบนี้ แต่แค่บอกว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เจอคนใหม่ๆ ได้ บางครั้งเราไม่ได้มีโอกาสรู้จักคนที่เราเดินผ่าน หรืออยู่ๆ จะเดินไปทักใครว่า "เธอๆ เราเหงา ไปเที่ยวเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ" ยอมรับเถอะว่าแอพแบบนี้มันก็มีดีเหมือนกันแหละน่า
อยากเล่า : เพื่อนที่เราเจอจากแอพนี้ ที่เป็นคนสวีเดน นางใจดีมาก เราจะเสียใจมากถ้าไม่ได้รู้จักกับนาง บางครั้งก็แปลกดีเนอะชีวิตพาใครดีๆ เข้ามาให้รู้จักเยอะเหมือนกัน เพื่อนคนนี้มาหาเราวันแรกที่เราไปถึงสต๊อกโฮล์ม เป็นคนแรกที่พาเราไปเที่ยว ไปดูนู่นนี่ นั่งกินสลัดกันริมน้ำ มองเป็ด มองเมือง พาไปบาร์ไวกิ้งที่เราจะไม่มีวันรู้จักถ้าไม่เจอนาง... และตอนนี้ยังติดต่อเป็นเพื่อนกันอยู่ มีการคุยติดต่อกันตลอด
4. Facebook
สมัยนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเฟสบุคกันถ้วนหน้า เรามีเรื่องราวที่น่าประทับใจเรื่องนึงที่อยากเล่าให้ฟัง แต่จะเล่ายาวๆ ในบันทึกต่อๆ ไป คือเรื่องของการเจอเพื่อนต่างชาติ แปลกหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อ นไม่มีเพื่อนร่วมกันใดๆ ทั้งสิ้น แต่เจอโดยบังเอิญในเฟสบุค เราจะเล่าย่อๆ แล้วกันว่าเราเจอ 'อลิซ' เพื่อนชาวอิตาลีจากการที่นางมาแอดเราในเฟสเมื่อ 4 ปีที่แล้วโดยไม่มีเพื่อนร่วมกันแม้แต่นิด สาเหตุคือ เรากดไลค์เพจวงดนตรีที่ชอบเหมือนกัน และเราคงไปเม้นอะไรในเพจนั้น อลิซเลยสนใจและแอดเรามา แรกๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่ก็ดูออกว่าอลิซเป็นคนที่มีความสนใจในหลายๆ เรื่องเหมือนเรามาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะ และอื่นๆ เราคุยบ้างไม่คุยบ้างมาตลอด 4 ปี จนหลังๆ เรามีการแลกที่อยู่ส่งจดหมายและส่งของหากัน (penpal) จนวันนึง เราเอ่ยปากว่าเราจะไปเที่ยวยุโรปคนเดียว และจะไปบูดาเปสต์ อลิซบอกว่าเคยไป และอยากไปด้วย และในที่สุดเราก็ไปเจอกันที่บูดาเปสต์ หลายคนประหลาดใจว่าทำไมเรากล้าไปเจอ กล้าเที่ยวคนเดียวก็ดูกล้าพอแล้ว นี่กล้าไปเจอเพื่อนในเน็ตที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย ทำไม? เรารู้สึกว่า คนเราสมัยนี้ ต่อให้ไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่การได้คุยกัน เชื่อมโยงต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ตและหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการคุยทาง skype หรือการส่งจดหมายแลกเปลี่ยนความรู้สึกผ่านสิ่งของ เราว่ามันพอจะบอกได้ถึงความจริงใจและความรู้สึกบางอย่าง ถึงแม้อาจจะไม่ทั้งหมด แต่เรารู้สึกไว้ใจและอบอุ่น และเราก็ 'เลือก' ที่จะให้เค้ากลายเป็นเพื่อนของเรา และนาทีแรกที่เราเจอกัน เราไม่รู้สึกแปลกใหม่เลย เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว :)
ข้อแนะนำ : หลายคนชอบถามว่าเราหาเพื่อนได้ยังไง ถ้าสำหรับเฟสบุค บอกเลยว่ามันไม่ง่าย เคสอลิซนี้เราว่ามันเป็นโชคชะตาจริงๆ ไม่ได้งมงายเรื่องพวกนี้นะ แต่เราเคยพยายามจะลองหาเพื่อนใหม่คนอื่นจากประเทศอื่นๆ มันไม่ง่ายเลย เพราะการที่เราจะไปเจอใครจากเพจไหน แล้วแอด แล้วพยายามคุยทางข้อความ มันไม่ใช่ทุกคนที่จะคุยตอบกับเราและยอม connect กับใจเราง่ายๆ เรื่องแบบนี้อยู่ที่จังหวะ โชคชะตา แต่ถ้าอยากได้เพื่อนเร็วๆ จริงๆ ย้อนไปที่ข้อ 1 2 และ 3
me and Alice in Budapest
เรากับอลิซ
5. โชคชะตาฟ้าลิขิต (หรือความแรนด้อม)
เราเชื่อว่าการที่เรารู้จักกับใครสักคน เจอกับใครสักคน และคนนั้นกลายมาเป็น 'คนๆ นึง' ในชีวิตเรา ที่ไม่ใช่แค่ผ่านพ้นไป มันคือโชคชะตาจริงๆ มันอาจดูเป็นความบังเอิญ แต่ก็เหมือนบนฟ้าอาจตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น ตอนเราอยู่ที่บูดาเปสต์กับอลิซ เพื่อนของอลิซคนนึง (ที่อลิซเจอและทำความรู้จักบนรถไฟตอนมาที่เมืองนั้น) พาไปเที่ยวผับแนวๆ ที่วัยรุ่นชอบไป คืนนั้นเราไปกัน 3 คน แต่อยู่ไปอยู่มากลายเป็นมีเพื่อนเป็นสิบๆ คน และหนึ่งในนั้นกลายเป็นเพื่อนที่พาเราเที่ยวทุกวันในปารีส (ทริปถัดมาที่ต้องเที่ยวคนเดียวอีกครั้ง) เราชอบวันนั้นมาก คือพวกเราไปกัน 3 คน แต่ไปๆ มาๆ พอเรานั่งลง มีคนเดินไปเดินมา เราก็ชวนคุย ชวนมานั่งด้วย ชวนกินเบียร์ ชวนเล่นเกม นู่นนี่นั่น จนเรารู้จักเพื่อนใหม่เยอะมาก และมาจากทั่วโลก เราเจอเจเรมี่ หนุ่มฝรั่งเศสที่มากับเพื่อนสาวสองคน เจเรมี่กำลังเมานิดๆ พวกเราเกรียนๆ กันได้ที่ จนสุดท้ายเราคุยกันเรื่องแผนที่ และทางกลับโฮสเทล เราพูดกับเจเรมี่ว่าเราจะไปปารีสในอีกสองวันข้างหน้า ไปคนเดียว เจเรมี่มาจากปารีสเลยให้เบอร์โทรและอีเมลกับเราไว้ เราคิดในใจว่ามันคงเมา หลังวันนี้มันคงลืมแล้วมั้ง แต่แล้วพอเราไปถึงปารีส คนที่มารับเราและพาขึ้นรถไฟไปที่โฮสเทลก็คือเจเรมี่ ทุกอย่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเราและน่าประทับใจมาก จากที่ไม่เคยแพลนว่าจะไปไหนทำอะไรในปารีส กลายเป็นว่าเจเรมี่ลางานเพื่อมาพาเราเที่ยว 4 วัน พาไปดูนู่นนี่ พาไปกินนั่นนี่ ช่วยเหลือทุกอย่าง และในสี่วันนั้นเราก็เจอกับเพื่อนอีกคนที่พักที่โฮสเทลเดียวกัน หลังจากนั้นเราสามคนเลยเที่ยวสนุกกันตลอดทริป เป็นความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้ว การออกเดินทางสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม หรือกับใครก็ตาม มันไม่ได้สำคัญว่าเราจะเก็บประเทศได้เยอะแค่ไหน แต่สำหรับชีวิตเราและความคิดเรา เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เราเจอระหว่างการท่องเที่ยว วิวสวย เมืองสวยก็เป็นอีกเรื่องนึ แต่ที่เราประทับใจมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อเรามากที่สุดก็คือมิตรภาพและการปฏิสัมพันธ์กันของมนุษย์ เราชอบในความที่คนเราหาจุดเชื่อมต่อเข้าหากันได้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดผ่านทางคำพูด วิธีที่มนุษย์ทำความรู้จักกันมันมีเสน่ห์และเป็นปริศนาให้น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา
all new friends I made in Budapest!
เพื่อนใหม่ๆ ที่บูดาเปสต์คืนนั้น
ที่แนะนำมาทั้งหมดนี้ อาจไม่ได้ทำให้ใครถูกใจมากนัก (เพราะแม่งมีพวกแอพหาคู่ด้วย 5555) แต่คิดว่าอย่างน้อยน่าจะได้ให้อะไรกับคนอ่านได้บ้าง ช่วงนี้เราหาเวลาเที่ยวไม่ได้เลย แต่ในหัวพยายามคิด วางแผนและเก็บเงินอยู่ตลอด และคิดว่าปีหน้าเราจะกลับไปเที่ยวอีกครั้ง อาจไปคนเดียว หรืออาจมีคนตามไปด้วยก็ได้ :)
ปล. ใครอยากมีกิ๊ก พูดเลยว่าไปคนเดียวสบายที่สุด ไม่ต้องเกรงใจใคร 55555555555
อ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว มีใครยังไม่อ่านตอนก่อนๆ บ้าง?
รีบอ่านเลย ตั้งแต่ตอนแรกเลยก็ดี :)
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
ตอนที่ 1-2
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_7.html
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_9.html
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/0-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-0.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 1
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/1-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-1.html
ตอนล่าสุด.. ชีวิตน่ารักๆ ในฟาร์มที่อุปซอลา, สวีเดน
http://mayajett.blogspot.com/2015/11/deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-2.html
ชีวิตน่ารักๆ ในฟาร์มที่อุปซอลา, สวีเดน / Deep in the Woods in Uppsala, Sweden PART 2
Sweden November 18, 2015
Deep in the Woods in Uppsala, Sweden PART 2
มาอยู่นี่ได้ไม่กี่วัน เผลอติดคำว่า “ใช่” ภาษาไทยนี่แหละ และคำว่า “เฮโดว์” (ใครไปอิเกียบ่อยน่าจะจำได้ มันแปลว่าบ๊ายบาย) เฮโดว์ยังพอว่า ใช้กับคนสวีเดนได้ตลอดเวลาจากกัน แต่คำว่า ใช่ นี่สิ ติดปากแบบเผลอพูดออกมา แล้วก็ต้องนึกได้ว่าไม่ได้พูดกับคนไทย เลยต้องพูดคำว่า Yeah.. ไปอีกครั้งนึง
Our farm :)
Chickens
ชีวิตที่บ้านฟาร์มสุขสบายดี เราปรับตัวให้ชินกับสภาพอากาศที่ไม่ได้หนาวมากไป และไม่ร้อนมากไป ของหน้าร้อนสวีเดนได้ไม่ยาก เพราะโดยส่วนตัวเป้นคนขี้ร้อน และชอบอากาศเย็นๆ แบบนี้ ไม่แน่ใจว่ามันร้อนสำหรับเขาหรือเปล่า แต่บางวันเย็นจริงๆ แบบว่า 11-15 องศา เราก็ใส่แจ๊คเกตกันแล้ว อยู่แบบสบายๆ วันไหนแดดออกอย่าไปหลงเชื่อมาก เผลอพูดออกไปว่าเฮ้ยวันนี้อากาศดี แดดสดใสทีเดียว แต่วิคเตอร์เตือนไว้ว่า อย่าเอ็ดไป.. อย่าหลงเชื่ออากาศที่สวีเดนเด็ดขาด เพราะมัน unpredictable มาก และเราก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนเช้าแดดออกสดใส ชื่นใจ คนที่นี่จะมีความสุขมากเวลาแดดออก เพราะบ้านเค้าหนาว วันไหนมีแดดคือนิพพานเลย แต่สักพักฟ้าเริ่มครึ้ม ตอนสายๆ ฝนตก เดาใจยากมากกกกก
เราได้เรียนรู้ว่าที่นี่ตอนหน้าร้อนพระอาทิตย์ตกตอนประมาณสี่ทุ่มถึงห้าทุ่ม (เราอาจจะเคยเขียนไปแล้วตอนที่อยู่สต๊อกโฮล์ม) แต่มันก็ยังเป็นอะไรที่น่าแปลกใจสำหรับเราตลอดเวลา เราชอบที่นั่งเล่นๆ ตอนสามสี่ทุ่มแล้วฟ้ายังสว่างอยู่ เหมือนเวลาหกโมงเย็นบ้านเรา และพอตกกลางคืนจริงๆ ฟ้าเค้าไม่ได้มืดแบบสีดำสนิท มันยังมีสำน้ำเงินเจือๆ ให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังน่าประหลาดใจสำหรับเราอยู่ทีเวลานั่งกินมื้อเย็นกันตอนสองทุ่มและฟ้ายังสว่าง ฮ่าๆ ด้วยความที่พระอาทิตย์ดื้อไม่ยอมตกดิน และขึ้นเช้าตอนตีสามตีสี่ ทำให้เรามักจะตื่นขึ้นมาเองตอนตีสี่ทุกเช้า ซึ่งด้วยความง่วงแล้ว เราก็นอนต่อจ้ะ
9 PM
รูปนี้ถ่ายตอนสามทุ่มที่ฟาร์ม.. เหมือนหกโมงเย็นบ้านเรา
เมื่อใช้ชีวิตในฟาร์มมาได้สักสามสี่วัน ตอนนี้ก็รู้สึกพลาดกับสิ่งที่ไม่ได้เอามาหลายอย่างมาก เราจะลิสต์ลงมาให้ดูประมาณนี้...
- รองเท้าคอนเวิร์ส (หรือคู่อื่น อะไรก็ได้) เพราะตอนนี้รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่ใจที่ซื้อมาถูกแสนถูกนั้นโดนแต้มด้วยดิน โคลน ขี้วัว ขี้แกะ และอะไรต่อมิอะไร จนกลายมาเป็นสีน้ำตาลไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นึกภาพไม่ออกว่าจะกลับไปสต๊อกโฮล์มยังไงดีถ้าต้องใส่รองเท้าเน่าๆ แบบนี้ (เมืองนี้เค้าฮิปสเตอร์เยอะ เราก็อยากคูลกับเค้าบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ตามนั้นเลย ถ้าไม่มีก็ช่างแม่ง ๕๕๕๕)
- ดีที่เอาเสื้อแจ๊คเก็ตมาเผื่อ เกือบเอาออกแล้วตอนที่แพ็คกระเป๋า โชคดีมากๆ เพราะถ้าไม่เอามาอีกตัวคือตายแน่ๆ “Never trust Swedish Summer!” จำคำนี้ขึ้นใจมาก! เพราะมีวันนึงที่อากาศหนาวมาก คนอื่นเค้าก็ไม่ได้หนาวอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เราถึงกับหยิบแจ๊คเก็ตสองตัวที่มีมาใส่ นี่นึกไม่ออกว่าถ้าเอามาแค่ตัวเดียวจะเป็นยังไง
- ก่อนมาฟาร์มน่าจะซื้อขนมมาตุนเยอะๆ just in case เวลาหิวๆ ตอนเวลาว่างในฟาร์ม แต่ไปมาแล้วรอบนึงที่ ICA สองสามวันก่อน ได้ chocolate มาเยอะมาก
อีกเรื่องที่อยากบอก ซึ่งไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ แต่มันติดใจมากจริงๆ คือคุกกี้ช็อคโกแลตชิปที่ร้าน ICA (เป็นซุปเปอร์มาร์เกตที่มีให้เห็นทั่วทุกที่ในสวีเดน) อร่อยมากกกกกกก อร่อยแบบเหลือเชื่อ
เราซื้อมาตอนเปตราพาไปอิก้าเพราะเราอยากซื้อขนม เราไม่รู้หรอกว่าอะไรอร่อย แต่เห็นราคาแล้วเลยอยากลอง มันเป็นคุกกี้ของอิก้าเองเลย ห่อก็ไม่ได้สวยอะไรมากแค่เพลนๆ ธรรมดา แค่บอกว่ากูเป็นคุกกี้ช็อคชิปนะ อะไรแบบนี้ แล้วราคาคือแค่ 7 SEK (ประมาณสามสิบบาทไทย) คือถูกมากกกก ตอนนั้นไม่แน่ใจความอร่อย พอถามเปตราเธอก็บอกว่าก็ดีนะ เลยหยิบมาอันเดียว ปรากฏว่าพอกลับมาที่ฟาร์มแล้วลองกิน คืออร่อยมากกกกกกก อร่อยแบบชีวิตนี้ตายไปคงคุ้ม (และหลังจากนั้นเราก็ซื้ออีกประมาณสี่แพ็คตอนไปที่เมืองคาร์ลสตัด)
Chocolate Chip Cookies from ICA
คุกกี้ช็อคโกแลตชิปในตำนาน อร่อยเหี้ยๆๆๆ
เราซื้อมาตอนเปตราพาไปอิก้าเพราะเราอยากซื้อขนม เราไม่รู้หรอกว่าอะไรอร่อย แต่เห็นราคาแล้วเลยอยากลอง มันเป็นคุกกี้ของอิก้าเองเลย ห่อก็ไม่ได้สวยอะไรมากแค่เพลนๆ ธรรมดา แค่บอกว่ากูเป็นคุกกี้ช็อคชิปนะ อะไรแบบนี้ แล้วราคาคือแค่ 7 SEK (ประมาณสามสิบบาทไทย) คือถูกมากกกก ตอนนั้นไม่แน่ใจความอร่อย พอถามเปตราเธอก็บอกว่าก็ดีนะ เลยหยิบมาอันเดียว ปรากฏว่าพอกลับมาที่ฟาร์มแล้วลองกิน คืออร่อยมากกกกกกก อร่อยแบบชีวิตนี้ตายไปคงคุ้ม (และหลังจากนั้นเราก็ซื้ออีกประมาณสี่แพ็คตอนไปที่เมืองคาร์ลสตัด)
I love nature in Sweden
Our home
ที่นี่ใช้ชีวิตกันเรียบง่าย ไม่มีอะไรมาก โดยรวมโฮสค่อนข้างชิลตามสไตล์คนสวีเดน เราไม่ได้รู้จักความเป็นสวีเดนมาก แต่เท่าที่เราได้ยินและสัมผัสมาเราสามารถพูดได้เลยว่าพวกเค้าน่ารัก ใจดี มีความชิลแบบคนไทย แต่ในความชิลนั้นก็มีความจริงจังที่ชัดเจนและเข้าใจได้ บางคนอาจจะดูดุในบางครั้ง แต่ก็แค่เพราะเขาพูดตรง มีความจริงจัง คนสวีเดนค่อนข้างคุยง่าย มีมารยาท ทุกคนเก่งภาษาอังกฤษ เรามักจะได้พูดคุยกันจริงจังก็ตอนมื้อเย็นที่นั่งด้วยกันทั้งหมด คุยเรื่องสัพเพเหระ เรื่องเพลงบ้าง โฮสคนพ่อ -ปีเตอร์ ชอบฟังเพลง และบางวันเราก็เอามือถือเขามาต่อกับลำโพงที่ตั้งอยู่ข้างๆ โต๊ะกินข้าวหน้าบ้าน ฟังเพลงกัน จุดเทียน บรรยากาศดีขึ้นเยอะเลย ที่เราชอบมากๆ คือเวลาเปิดเพลงคันทรี่เก่าๆ เด๋อๆ คือบรรยากาศดีจริงๆ บางคืนเราถึงกับคิดขึ้นมาในใจว่า “เฮ้ย มีความสุขจังเลยว่ะ อยากมีชีวิตแบบนี้บ้างจัง” ไม่ใช่ว่าไม่รักชีวิตเราเองที่เมืองไทย แต่เรารักทุกสิ่งที่เราเจอและได้สัมผัสมัน ทุกอย่างมันช่างมีค่าและเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ
Viti the loving sheep
วิคเตอร์ (volunteer อีกคนที่บ้านนี้ ที่เคยได้กล่าวถึงแล้ว) เป็นหนุ่มชาวสเปนหน้าตาดี ที่เคราเยอะไปหน่อย เพราะนางบอกว่าช่วงนี้ทดลองไว้เคราเยอะๆ ดูว่าจะเป็นไง ปกติไม่ได้มีเยอะขนาดนี้ (จากที่ดูคือถ้าโกนออกหรือเหลือไว้นิดหน่อยนางจะหล่อมาก) วิคเตอร์เป็นคนอารมณ์ดี ทำงานเก่ง อาจเพราะเขาอยู่บ้านนี้มาได้สักพักแล้วเลยดูเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวนี้บบสนิทสนม และเหมือนเป็นพี่ชายของแฮร์รี่ (ลูกชายของเปตรากับปีเตอร์) ในบางมุม อาจเพราะวิคเตอร์พูดภาษาสวีเดนได้ในระดับนึง ก็แปลกดีตอนที่เลือกโฮส เราเคยถามโฮสบางคนว่ามี volunteer คนอื่นไหม และมีผู้หญิงไหม? อาจจะเพราะความปลอดภัยหรือความเคยชินของตัวเอง เลยถามๆ ไว้ก่อน (แต่ความจริงเราชอบอยู่กับพวกผู้หญิงมากกว่า มันคุยกันง่ายดี แต่กับผู้ชายก็ดีคนละแบบเพราะมันไม่คิดไรมาก) แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับที่นี่ เพราะตอนติดต่อกันคือเป็นช่วงเวลาที่เราใกล้จะมาแล้ว จุดนั้นคือเป็นไงก็เอางั้นเลย เข้าใจว่าจะมีคู่รักมาทำ แต่พอมาก็เจอวิคเตอร์ (วิคเตอร์เล่าให้ฟังทีหลังว่า คู่รักคู่นั้นไปก่อนวันที่เราจะมาแค่วันเดียว เหตุผลอาจมาจากความไม่เป็นระเบียบของที่นี่... ฮ่าๆ) เราดีใจที่มาเจอวิคเตอร์เพราะเดาไม่ออกว่าถ้ามาอยู่คนเดียวจะเหงารึเปล่า เวลาว่างๆ เราก็คุยกัน กินขนมกัน บางครั้งก็นึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีนางแล้วเราจะอยู่ยังไง เพราะเรื่องบางเรื่องวิคเตอร์ก็สอนเรา และแนะนำเราในหลายๆ อย่างในฟาร์ม ในมุมที่โฮสคงไม่สามารถบอกได้ ก็คงเป็นมุมมองของ volunteer คนนึงแหละนะ
MaZarIn
ทุกๆ วันเราจะกินมื้อกลางวันกันที่เวลาบ่ายสอง ทำอะไรกันก็ได้ วิคเตอร์เป็นพ่อครัวที่ดีและรู้จัก mix & match อาหารและวัตถุดิบต่างๆ และทำให้ออกมาอร่อยได้ เขาเล่าว่าเรียนรู้สูตรต่างๆ มาจากพ่อที่ชอบทำอาหาร งานส่วนมากในฟาร์มก็ไม่มีอะไรมาก ไม่มีมีงานตายตัวกำหนดเป๊ะๆ หรือเข้มงวดอะไรเป็นพิเศษ ดูจะชิลๆ ตามใจชอบด้วยซ้ำ แต่แค่เราต้องมี task สักอย่างในใจ แล้วทำมันให้เสร็จ อาจไม่ต้องภายในวันเดียวก็ได้ แต่ทำให้มันเสร็จ งานหลักๆ จริงๆ ที่ต้องทำทุกวันคือตื่นเช้ามาแล้วให้น้ำ ให้อาหารสัตว์ ตัดหญ้ามาเลี้ยงกระต่าย ให้น้ำไก่ เปิดเล้าไก่ให้ออกมาเดิน ให้อาหารหมูที่หิวอยู่ตลอดเวลา (ให้เช้า เย็น) หรือแม้แต่ถอนวัชพืชต่างๆ ในสวนให้เรียบเกลี้ยง งานนี้สนุกมาก เราโปรดปรานเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไม
Mazarin
มาซารีน แมวพี่สาวเด็กๆ ทั้งหลาย (นางเกลียดเด็กทุกตัว)
ที่นี่มีหมาทั้งหมด 4 ตัว มีมัฟฟิ่น อิเนส ดีเซล แซลลี่ ทุกตัวน่ารักมาก แต่อีตัวเล็กสุด (ดีเซล) ปากเปราะและเห่าตลอดเวลา บางครั้งก็อยากถีบมัน แต่บางครั้งมันก็น่ารักและฉลาดเหลือเกิน (เราจะเล่าเรื่องหมาและแมวให้ฟังในภาคต่อๆ ไป พวกมันมีคาแร็กเตอร์ที่น่าสนใจกันมาก) นอกจากนี้ยังมีแมวอีกประมาณ 7 ตัว ไม่แน่ใจว่าเจ็ดมั้ยแต่น่าจะประมาณนี้แหละ แมวที่สวีเดนเป็นอะไรที่ขนนิ่มมากๆๆ มากถึงขั้นอยากจับมันมาอุ้ม กอด หอมตลอดเวลาไม่ปล่อยไปไหน มันน่ารักมากๆ เป็นแมวเด็กๆ ที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือนเอง มีตัวนึงที่น่ารักและยอมให้คนเล่นด้วยมากที่สุดคือ เปรซิล (นี่เพิ่งมารู้ว่าชื่อนางออกเสียงแบบนี้ กูเรียก บาซิล มาตลอดเลยจ้า) เวลาอุ้มเปรซิลมาเล่นหรือเกาพุง ลูบๆๆ มันจะเคลิ้มและหลับบนตักหรือในอ้อมกอดเราได้ไม่ยาก เป็นแมวที่น่ารักมากกกกที่สุดในโลก วิคเตอร์พูดว่าอยากเอามันกลับไปบ้านที่สเปนด้วย นางรักมันมาก เราก็รักมากเช่นกัน
พูดถึงแมว บางครั้งเวลาตัดหญ้าหรือถอนวัชพืช (Weeding) เราจะชอบเจอแมววิ่งเล่นอยู่ในพงหญ้า ดงวัชพืชต่างๆ พวกลูกแมวชอบเล่นด้วยกัน วิ่งไปวิ่งมา ปีนนู่นนี่ อยู่ในวัยกำลังซนเลยล่ะ แต่ส่วนมากเวลาเจอคนมันจะชอบวิ่งหนี กวนๆ ตามประสาแมวเด็ก และหลายตัวก็กลัวคนเหมือนกัน มีอีกตัวที่เราชอบไม่แพ้กัน ชื่อว่า ฟลุฟฟลุฟ (Fluff Fluff)
ตัวยูของสวีเดนจะอ่านออกเสียงเป็นสระอู ไม่ฟลัฟๆ ซึ่งมันฟังดูน่ารักมาก และยิ่งน่ารักเพราะมันเป็นชื่อของเจ้าแมวตัวเล็กขนปุยสีขาว ตัวมันฟลุฟๆ เป็น snowball สมชื่อเลย
เอาล่ะ.. จบแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวตอนหน้าจะเล่าประสบการณ์การหลงป่าที่สวีเดนให้ฟัง
ทั้งน่ารัก น่ากลัว และน่าตกใจในเวลาเดียวกัน
อ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว มีใครยังไม่อ่านตอนก่อนๆ บ้าง?
รีบอ่านเลย ตั้งแต่ตอนแรกเลยก็ดี :)
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
ตอนที่ 1-2
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_7.html
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_9.html
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/0-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-0.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 1
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/1-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-1.html
Fluff Fluff the snow ball
ตัวยูของสวีเดนจะอ่านออกเสียงเป็นสระอู ไม่ฟลัฟๆ ซึ่งมันฟังดูน่ารักมาก และยิ่งน่ารักเพราะมันเป็นชื่อของเจ้าแมวตัวเล็กขนปุยสีขาว ตัวมันฟลุฟๆ เป็น snowball สมชื่อเลย
เอาล่ะ.. จบแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวตอนหน้าจะเล่าประสบการณ์การหลงป่าที่สวีเดนให้ฟัง
ทั้งน่ารัก น่ากลัว และน่าตกใจในเวลาเดียวกัน
God natt my love..
ราตรีสวัสดิ์
อ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว มีใครยังไม่อ่านตอนก่อนๆ บ้าง?
รีบอ่านเลย ตั้งแต่ตอนแรกเลยก็ดี :)
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
ตอนที่ 1-2
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_7.html
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_9.html
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/0-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-0.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 1
http://mayajett.blogspot.com/2015/10/1-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-1.html
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 1 / Deep in the Woods in Uppsala, Sweden PART 1
Sweden October 22, 2015
Deep in the Woods in Uppsala, Sweden
Part 1 (The Starting!)
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 1
ความเดิมตอนที่แล้ว (เพิ่งมาถึง) : http://mayajett.blogspot.com/2015/10/0-deep-in-woods-in-uppsala-sweden-part-0.html
เมื่อมาถึงฟาร์ม ลงจากรถปุ๊บ เราก็ได้พบกับเพื่อนใหม่มากหน้าหลายตา คือน้องหมาทั้งหลายนั่นเอง เราดีใจมากที่ได้มาอยู่ที่ๆ มีสัตว์ มีธรรมชาติ และมันก็คือสิ่งที่เราเลือกอยากมาตั้งแต่แรก ที่บ้านฟาร์มนี้มีพื้นที่เยอะและกว้างพอสมควร มีทั้งโรงเลี้ยงสัตว์ โรงเก็บของ บ้านสามหลัง และพื้นที่สำหรับคอกสัตว์ต่างๆ เช่น แกะ หมู อะไรประมาณนี้ บ้านของโฮสจะเป็นบ้านหลักที่หลังใหญ่ที่สุด ไม่ได้ใหญ่มากแบบเว่อร์วังอะไร ส่วนบ้านของเราเป็นบ้านค็อทเทจหลังเล็กๆ ไม่ได้เล็กมาก เพราะเรามาคนเดียว ถือว่าใหญ่เกินไปสำหรับหนึ่งคนด้วยซ้ำ วิคเตอร์ช่วยยกกระเป๋าเดินทางของเราลงจากรถ แล้วเราก็เข้าไปในบ้านค็อทเทจที่เราจะอยู่ “นี่เป็นบ้านที่เธอจะอยู่ ลองเข้ามาดูสิ” เปตราพูด
The little cottage I'm staying (Alone)
นี่คือบ้านที่เราอยู่ มองจากมุมบ้านโฮส
เราเดินเข้าไปกันทั้งหมด ทั้งเปตรา วิคเตอร์ แฮร์รี่ และหมาๆ ทั้งหลาย ทุกคนต่างต้อนรับกันเป็นอย่างดี ข้างในบ้านมีโซนที่เป็นเหมือนห้องนั่งเล่น คือห้องใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปเป็นห้องนอน ตรงห้องใหญ่นี้เปตราเล่าว่าที่นี่ใช้เก็บพวกขนแกะและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะใช้ถักผ้าไหม หรือที่เรียกกันว่า Wooling อะไรประมาณนี้ เปตรามีงานอดิเรกคือถักไหมพรมและทำไหมพรมจากขนแกะที่เธอเลี้ยงเอง ซึ่งฟังดูแปลกและน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กไทยอย่างเรามาก
The living room in the cottage
(โซนห้องนั่งเล่น)
เปตราเดินนำพาเราเข้าไปดูห้องนอน แล้วเราก็ต้องประหลาดใจกับเตียงไซส์ใหญ่ที่ดูนุ่มนิ่มน่านอนมากๆ ในห้องนอนดูอบอุ่น มีเตียงใหญ่ มีโต๊ะข้างเตียง ที่ไม่กว้างมากเพราะเตียงใหญ่ แต่เรารู้สึกดีใจมากที่จะได้มีที่นอนอุ่นๆ น่านอนแบบนี้ เราเอาของมาเก็บและจัดของนิดๆ หน่อยๆ ดีใจที่หน้าห้องนอนมีโต๊ะให้นั่งเขียนอะไรเล่นๆ ได้ แถมยังมีเครื่องเล่นซีดีอีก (พอดีกับที่ซื้อซีดีมาหลายแผ่นจากสต๊อกโฮล์มเลย)
The bedroom + comfy bed
ห้องนอน อาจดูไม่ชัดเพราะถ่ายจากด้านนอก
แต่เตียงนิ่มนอนสบายมากกกก
สักพักพออะไรเข้าที่คร่าวๆ แล้ว เราก็เดินไปยังบ้านใหญ่ของเปตรา เธอพาเราเข้าบ้านและแนะนำสิ่งต่างๆ และห้องต่างๆ ในบ้าน ทีแรกที่ก้าวเข้าไปในบ้านเราเกิดความรู้สึกแอบอึ้งเล็กน้อยกับความรกและไม่เป็นระเบียบ ของทุกอย่างกระจัดกระจายตามพื้น หมา แมว เดินให้วุ่น (แมวเยอะมาก ลูกๆ เต็มเลย และน่ารักมากกกกก) ทุกสิ่งคือดูแรนด้อมมากกกกกกกกกกกก แรนด้อมแบบที่คิดว่าตัวเองแรนด้อมแล้วมานี่ก็ยังอาย เปตราพาไปดูห้องครัว ห้องนั่งเล่น พาขึ้นชั้นสอง ดูห้องน้ำ พาไปดูห้องแฮร์รี่ (อันนี้พีคสุด) เพราะห้องน้องคือรกมากกกกกกก รกแบบทุกสิ่งทุกอย่าง ของเล่นทุกอย่างที่เคยมีในชีวิตน้องคืออยู่ที่พื้น แทบไม่มีทางเดิน แต่น้องยังนอนกับพ่อแม่อยู่ เลยเข้าใจได้ถ้าจะปล่อยให้รกขนาดนี้ เพราะถ้าให้นอนในนี้คงไม่ไหวมั้ง 555 และสุดท้ายก็เป็นห้องนอนของโฮส เปตรา และปีเตอร์ ซึ่งตอนนี้ปีเตอร์ไปทำงานยังไม่กลับ เดี๋ยวเราจะได้เจอกับเขาตอนเย็นๆ
One of the little kitties!
เมื่อแนะนำบ้านและทำความคุ้นเคยกับน้องหมา น้องแมว เสร็จแล้วเราก็ประเดิมด้วย “Fika” ฟิก้า ซึ่งใครมาสวีเดนไม่รู้จักฟิก้าไม่ได้ ฟิก้าเหมือนเป็นธรรมเนียมของคนสวีเดนที่จะมีพักดื่มกาแฟกับขนม คุกกี้ อะไรก็ว่าไป หรือถ้าไม่ใช่กาแฟก็อาจจะเป็นชา น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเบาๆ ชิลๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนสวีเดนดูจะภูมิใจมากเวลาพูดถึงฟิก้า และเป็นทุกคนจริงๆ เราดื่มกาแฟที่เปตราทำให้ เป็นกาแฟดำเข้มๆ ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล เข้มฉบับสวีเดนที่แท้จริง เราไม่ได้เป็นคนติดกาแฟ แต่ไม่ปฏิเสธที่จะลอง ซึ่งพอได้ลองแล้วก็... อืม จืดและขม เข้มสุดๆ ซึ่งมันแปลกใหม่ดี แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ เราหิวนิดๆ เพราะวันนี้ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไร เลยเอาแซนด์วิช (ที่ได้มาจากมื้อเย็นที่ซาร่าพาไปกินเมื่อวาน แล้วไม่หมด) มากิน วิคเตอร์บอกว่าเขามักจะหิวบ่อยๆ เลยมีมื้อกลางวันที่ทำเองทุกวัน ซึ่งตามปกติของที่บ้านนี้จะไม่กินมื้อกลางวันกัน ซึ่งเราคงอยู่ไม่ได้แน่นอน เราเลยรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนใหม่เป็นพ่อครัวคอยทำอาหารกลางวันกินทุกวัน และมื้อกลางวัน -วิคเตอร์จะกินมื้อกลางวันตอนบ่ายสองทุกวัน มื้อนี้ เป็นการเอาผักต่างๆ มาผัดกับเนย มีแฮมที่วิคเตอร์ซื้อมาจากสเปนนิดหน่อย อร่อยไม่เบาเลย
Feels like home
มองจากมุมบ้านโฮส ด้านซ้ายบ้านหลังเล็กวิคเตอร์อยู่
กลางเป็นโรงเก็บของ ขวาโรงเลี้ยงสัตว์
หลังจากทำความคุ้นเคยกันกับทั้งคนและสัตว์ต่างๆ ในบ้าน เราก็ตามติดวิคเตอร์ไปรอบๆ ฟาร์ม ไปดูนู่นดูนี่ วิคเตอร์แนะนำเครื่องยนต์ต่างๆ ที่ใช้ในฟาร์ม อุปกรณ์ และที่เก็บของต่างๆ เราหลงรักฟาร์มนี้ได้อย่างง่ายดายเพราะบรรยากาศที่เป็นฟาร์ม แบบ Hay Day (อ้อ ลืมบอกไปว่าเปตราก็เคยเล่าให้ฟังว่านางเคยติดเกม Hay Day ในไอโฟน -เกมสร้างฟาร์ม เลี้ยงสัตว์ปลูกผัก ซึ่งเป็นเรื่องที่เราตลกมาก เพราะชีวิตจริงๆ ของเปตราก็เหมือนในเฮเดย์ไม่มีผิดเพี้ยน) ที่บางครั้งเวลาไก่ออกไข่ หรือมีขนแกะ มีอะไรก็ตาม เพื่อนบ้านจะขับรถ ไม่ก็เดินเข้ามาหาเพื่อถามถึงของเหล่านั้น และซื้อ/แลกเปลี่ยนกัน เรารู้สึกว่ามันช่างเป็นชีวิตที่น่ารักจริงๆ เด็กเมืองๆ อย่างเราได้ยินเรื่องแบบนี้แล้วก็ชอบใจไม่เบา แถมที่ชอบใจที่สุดคือคนที่มีฟาร์มเองจริงๆ ก็ติดเกมเฮเดย์ที่จำลองชีวิตเขาลงไปในเกมเช่นกัน
My favorite pic
ภาพถ่ายมุมหนึ่งจากฟาร์ม
เอาล่ะ.. เมื่อเราทำความคุ้นเคยกับฟาร์มไปเรียบร้อยแล้ว เปตรากับวิคเตอร์ก็ชวนเราไปปฏิบัติภารกิจ (แรก) สำหรับเรา นั่นก็คือ ไปให้น้ำสัตว์ การให้น้ำสัตว์ใหญ่ๆ และหลายๆ ตัวไม่ใช่เรื่องง่ายแบบเปิดน้ำก๊อกให้หมากิน แต่คือเราต้องเอาแทงค์น้ำพลาสติกใหญ่ๆ ไปเติมน้ำ ไม่ต้องเต็มมากแค่ 1/4 ของถัง ส่วนสิ่งที่ใช้บรรทุกถังทั้งเวลาไปเติมน้ำและให้สัตว์ก็คือ รถ ATV จอมซิ่งนั่นเอง เปตรามองที่รองเท้าเราแล้วถามเราว่าใส่รองเท้านี้ไปจะโอเคหรือเปล่า มีรองเท้ามาเปลี่ยนมั้ย เราตอบแบบเขินๆ แต่มั่นใจ ว่าไม่มีค่ะ เอารองเท้านี้แหละลุยไป เพราะตั้งใจว่าซื้อเจ้าคู่นี้มาเพื่อลุยในฟาร์ม ส่วนที่เลือกสีขาว ก็เพราะว่าชอบ และราคามันก็ถูกแสนถูกก็เลยไม่คิดเสียดายมากหากมันจะดำหรือเปื้อนแค่ไหน (แต่นั่นคือการคิดผิดอย่างมหันต์ เมื่อไอ้คู่ขาวคู่นี้ต้องกลายเป็นคู่สีน้ำตาลไปโดยปริยายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงให้หลัง)
My sneakers was SO WHITE before and after
รองเท้าคู่ใจ ดูว่าขาวแค่ไหน อันบนคือตอนแรกสุด อันล่าง...
เราไปเติมน้ำ และโดดขึ้นรถเอทีวีที่มีเปตราเป็นคนขับ และวิคเตอร์เกาะอยู่หลังรถ พอสตาร์ทรถกำลังจะออก เจ้าหมาน้อยสองตัว แซลลี่ และดีเซลก็รีบวิ่งมาและกระโดดขึ้นตักเปตราจะไปด้วย และพวกมันก็ไปด้วยจริงๆ แต่ไปจริงๆ มีแค่ดีเซล เพราะมันเป็นหาตัวเล็กไซส์มิเนียเจอร์ / ชิวาว่าอะไรประมาณนั้น และพระเอกของฟาร์มคือเจ้ามัฟฟิ่น หมาต้อนแกะของเปตรานั่นเอง ตอนนี้ที่ฟาร์มฝนเริ่มตก อากาศเริ่มหนาวขึ้น ฝนตกไม่หนักมากแต่เราก็ไม่ค่อยมั่นใจกับสภาพรองเท้าที่ขาวจั๊วะแบบนี้ ถึงจะซื้อมาเพื่อทริปนี้ก็เถอะ แต่มันข๊าวขาวและเราก็ชอบมันมากเกินกว่าจะทำใจได้ถ้าต้องให้มันดำ แต่ก็นะ.. ทำไงได้ล่ะ ฝนยังคงตกลงมาปรอยๆ ดีที่เรามีเสื้อแจ๊คเก็ตอีกตัวที่มีฮู้ดและหนาพอสมควร ก็เลยกันลมและกันฝนได้บ้าง ระหว่างทางที่เปตราซิ่งเอทีวีพาพวกเราไปยังคอกวัวและแกะ (เปตราต้องขอเช่าที่และมีที่ของเธอเองอยู่ไม่ไกลจากฟาร์มนัก เพราะในฟาร์มเราที่เต็มหมดแล้ว เวลาจะให้น้ำพวกสัตว์เหล่านี้เลยต้องนั่งรถมาแบบนี้ ซึ่งไม่ได้ลำบากอะไรนัก วิถีชีวิตคนฟาร์มๆ เขาก็เดินทางไปไหนมาไหนใกล้ๆ กันอยู่แล้ว) ด้วยความที่ฝนตมาได้สักพัก พื้นเลยแฉะ และพอแฉะ บางทีมีหลุมและรถตกหลุม (เล็กๆ) น้ำโคลนๆ ก็จะกระเด็นขึ้นมา โดนกางเกงบ้าง เสื้อบ้าง รองเท้าบ้าง แง! แต่ก็บอกกับตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นว่า...การผจญภัยครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
และแล้ว สถานีแรกที่เรามาถึง ก็คือ... คุณวัว สเตชั่น เราทึ่งกับภาพที่เห็นมาก เพราะมันสวยงามมากกกกก สวยมากกกกกกแบบอึ้งมาก แทบจะกรีดร้องออกมาเป็นภาษาสวีเดน (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าต้องพูดว่าอะไร) คือภาพที่เห็นคือทุ่งกว้างๆ สีเขียวอ่อน มีอ่างอาบน้ำที่ไม่ใช้แล้วเอาไว้ใส่น้ำให้วัว และมีต้นไม้ต้นใหญ่ๆ อยู่ตรงกลางทุ่ง ทีแรกก็ยังไม่เห็นอะไร แต่สักพักเจ้าวัวก็เริ่มยื่นหน้าสลอนกันออกมาทักทาย และค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ที่ๆ พวกเราจอดรถ เปตราให้วิคเตอร์ปิดวงจรไฟฟ้า (ที่นี่ใช้รั้วไฟฟ้ากั้นคอกสัตว์กัน ซึ่งสัตว์จะรู้ดีว่าไม่ควรเข้ามาใกล้ และโวลต์เป็นกำลังต่ำ จึงไม่มีผลถึงตาย) วิคเตอร์ทำอย่างคุ้นเคยและเอารั้วออก ทีนี้พวกเราจึงเดินเข้าไปได้ แต่เจ้าวัวพวกนี้ไม่ค่อยเฟรนด์ลี่มากเท่าไหร่ ไม่ได้ทำร้ายคน แต่มันไม่เล่นด้วยเฉยๆ เลยไม่ได้มีโมเมนต์ที่พวกเราจะไปลูบหัวหรือหยอกล้อมัน
My best view of Uppsala...
วิวแบบนี้แหละ... (รูปจากวันอื่นที่เอามือถือติดไปด้วย)
สวยมาก สวยมากแบบไม่ไหวแล้ว
วัวตัวแม่ชื่อโรซ่า เป็นชื่อเดียวที่เราจำได้ นอกนั้นเป็นลูกๆ ของโรซ่า น่ารัก และชอบร้องตามแม่ สัตว์พวกนี้ฉลาด เวลาพวกเรามา มันจะร้องเหมือนการทักทาย เราเปิดน้ำเติมใส่อ่างอาบน้ำอันนั้น... หลังฝนตกวิวทุกอย่างสวยงามและสดชื่นจริงๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าตกหลุมรักสวีเดนมากขึ้นไปอีกสิบเท่าเมื่อมาถึงฟาร์มนี้ พอให้น้ำวัวเสร็จเราก็นั่งรถต่อไปที่สถานีต่อไปคือ แกะ สเตชั่น พอไปถึงเราเห็นแต่ทุ่งโล่งๆ ไม่มีอะไรเลย เปตราบอกว่า รอดูอะไรนี่นะ.. พลางร้องบอกให้มัฟฟิ่นทำตามคำสั่งอะไรบางอย่าง (ที่เป็นภาษาสวีเดน) และบอกให้เรามองไปที่หินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางทุ่งนั้น เราก็รอดูมัฟฟิ่นวิ่งเลาะรั้วไปเรื่อยๆ และพอมันหายไปหลังหินก้อนใหญ่นั้น แกะนับสิบๆ ตัวก็รีบวิ่งกันออกมา เป็นภาพที่น่ารักมากๆๆๆ และเราไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ทุกอย่างดูใหม่ ร่าเริงสดใจ น่าทึ่งสำหรับเรามาก เราให้น้ำแกะกัน ใส่ในถังเล็กถังใหญ่ที่วางไว้รอบๆ เอทีวีที่เราจอด แต่เราแอบประสบปัญหานึงคือพื้นแฉะและขี้แกะเยอะมากกกกกที่พื้น แอบร้องไห้เบาๆ ในใจกับการจากไปของสีขาวในร้องเท้าคู่ใจ แถมเหยียบขี้ไก่อีกเอ้า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เลือกมาฟาร์มก็แปลว่าเลือกแล้วที่จะมาลุย แมนๆ คุยกัน!!! ต้องสู้
Muffin the sheep dog (the best dog ever!)
มัฟฟิ่นพระเอกของพวกเรา
หลังจากเสร็จภารกิจ เรากลับไปที่บ้านฟาร์ม ปีเตอร์โฮสคนพ่อ (สามีเปตรา) กลับบ้านมาแล้ว เราไปทักทายเขาและทำความรู้จัก และ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พักผ่อนนิดหน่อยก่อนเวลาอาหารเย็น ระหว่างนั้นเราก็ไปนั่งคุยกับวิคเตอร์ ทำนู่นนี่ไปตามประสา และมื้อเย็นมื้อนี้ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก สวีดิชีทบอล ของโปรดที่เราชอบมาก (เพราะเคยกินที่อิเกีย) และนี่เป็นสวีดิชมีทบอลของสวีเดนที่ทำโดยคนสวีเดนที่แท้จริง... อร่อยมากกกกกก มากจนลืมไม่ลงเลย :)
Swedish meatball
My all time favorite!!
มื้อเย็นเป็นมื้อที่เราทำความรู้จักกันกับทุกคนอีกครั้ง เราคุยกันนู่นนี่ คุยถึงเรื่องเมืองไทย เปตราเคยมาเมืองไทยมาทำงาน อยู่สักสองสามเดือน แต่เธออยู่ที่หัวหิน แต่แค่นั้นเธอก็ชอบเมือแงไทยสุดใจแล้ว แถมซื้ออะไรจากเมืองไทยมาเยอะแยะ เค้าว่ากันว่าคนสวีเดนรักเมืองไทยมาก และไทยก็เป็นที่ยอดฮิตของคนสวีเดนเวลาหน้าหนาวคนจะหนีหนาวมาพึ่งร้อนที่นี่ เรากินมีทบอลกันอย่างเอร็ดอร่อยกับมันฝรั่งต้ม น้ำ (คล้ายๆเกรวี่) ราด พร้อมด้วยแยมลิงกอนเบอร์รี่ อร่อยมากๆ แบบบอกไม่ถูกเลย หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้วเราก็แยกย้ายไปพักผ่อน ไปอาบน้ำ และก่อนจะไปนอนเราแวะไปหาวิคเตอร์ที่บ้านเล็กๆ ของเขา : บ้านวิคเตอร์เป็นบ้านค็อทเทจหลังเล็กกว่าเราครึ่งนึง มีซาวน่า (ที่ยังซ่อมไม่เสร็จ) มีห้องน้ำที่กำลังสร้าง และโซนห้องนอนที่น่านอนมาก ไม่บ่อยนักที่เราจะไปหาชายหนุ่มในห้องหรือในบ้านแบบนี้ แต่ในฟาร์มนี้เรามีกันอยู่สองคน เป็น Volunteer หัวอกเดียวกันที่มีอะไรก็จะช่วยเหลือและแนะนำกัน วิคเตอร์หยิบนู่นนี่ให้ดู เขามีหนังสือการ์ตูน มีกีต้าร์ไฟฟ้า มีตุ๊กตาและของเล่นนิดหน่อยตามประสาเด็กผู้ชาย (นางอายุ 22)
Victor slays his guitar
เราคุยกันนู่นนี่นั่น บ่นเรื่องไวไฟใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรามีเน็ตในมือถืออยู่แล้ว คุยกันไปสักพักวิคเตอร์ก็เล่นกีต้าร์ให้ฟัง ฝีมือใช้ได้เลย และเราก็เล่นให้วิคเตอร์ฟังหนึ่งเพลง เป็นเพลงที่แต่งเองและร้องเอง เพลงชื่อว่า ‘Sleep’ ใครติดตามเพจหรือวิดีโอเราอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง... เราเพลิดเพลินกับการคุยกับวิคเตอร์ และรู้สึกแปลกใหม่ แปลกใจที่เราเอาตัวเองมาอยู่ที่ประเทศนี้ ที่เมืองนี้ และที่ฟาร์มนี้ บ้านนี้ เรามองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าอ่อนปนเข้ม นี่เป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆ ถ้าเป็นเมืองไทยคงจะมืดสนิทไปนานแล้ว... เราชอบสวีเดนจัง อยู่ๆ ก็รู้สึกอย่างจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปนานๆ ขึ้นมาซะงั้น
รักสวีเดนจังเลย :)
ติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้
เราจะแนะนำเจ้ากระต่ายทั้งหลาย และเรื่องสยองๆ ในฟาร์มให้ฟัง
จะว่าไป อ่านตอนก่อนหน้านี้รึยังเอ่ยยยยยย...
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
ตอนที่ 1-1
ตอนที่ 1-2
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0 / Deep in the Woods in Uppsala, Sweden PART 0
Sweden October 11, 2015
Deep in the Woods in Uppsala, Sweden
Part 0 (The beginning)
จากเด็กเมืองสู่เด็กฟาร์ม... ที่อุปซอลา, สวีเดน ภาค 0
ความเดิมตอนที่แล้ว (ที่สต๊อกโฮล์ม) : http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
Train to Uppsala
ตื่นเช้ามาเรารีบเก็บของและเตรียมตัวเดินทางไปยังเมือง Uppsala อุปซอลา ที่อยู่ห่างสต๊อกโฮล์มไม่มาก ใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณชั่วโมงเดียว แต่ก่อนอื่น... ขอเช็คตารางรถไฟในเว็บก่อน เพราะเรายังไม่ได้ซื้อตั๋วอะไรทั้งสิ้น แต่ติดต่อกับโฮสไว้แล้วว่าจะไปวันนี้ วันที่ 14 ก.ค. 2558 เราเช็คตารางและเดินไปถามมิแรนด้า เธอบอกว่าสถานีรถไฟอยู่ใกล้แค่นี้เอง เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง เดี๋ยวเราเดินไปด้วยกัน (สงสัยหายโกรธจากเมื่อคืนแล้วแฮะ) ก่อนเราจะออกจากบ้านเธอ เราให้กระเป๋าที่ซื้อมาจากดอยอะไรสักอย่างในภาคเหนือ ให้เป็นของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ กับเธอ เธอดูดีใจ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เธอรู้สึกเกลียดเราน้อยลงจากเมื่อคืนล่ะนะ ฮ่าๆ แต่เราว่าเธอคงไม่ติดใจอะไรมาก เราออกจากบ้านมาประมาณเกือบๆ เที่ยง เดินมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ใกล้มากจริงๆ มิแรนด้าช่วยเราซื้อตั๋วรถไฟแล้วเราก็กอดกันเป็นการร่ำลา เธอขอให้เราโชคดีกับชีวิตในฟาร์ม เราขอบคุณเธอสำหรับที่พักและทุกอย่าง และพูดกับเธอด้วยคำพูดเดิมที่จะต้องพูดอีกกับหลายๆ คนในทริปยุโรปนี้ว่า.. ‘ไปก่อนนะ แล้วสักวันเราจะเจอกันใหม่นะ’ ไม่ชอบเวลาบอกลาคนเลย โดยเฉพาะคนที่อยู่คนละประเทศกับเรา เราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไหร่ เธอบอกให้เรารีบไปเพราะรถไฟกำลังจะมา เรารีบวิ่งลงไปที่ชานชลา ถามคนที่ยืนแถวนั้นให้แน่ใจว่านี่คือรถไฟไปอุปซอลาจริงๆ และแล้วรถไฟก็มาเพียงไม่กี่นาที... เร็วจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง จนกระทั่งวันนี้ วันเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เรารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะต้องนั่งรถไฟไปอีกเมือง รู้สึกคิดถึงคนที่นี่ คิดถึงเพื่อนๆ แต่ยังไงเราก็ต้องกลับมาที่สต๊อกโฮล์มอีกอยู่ดี ไม่เป็นไร อีกไม่นานเราจะเจอกันใหม่เนอะ... ว่าแล้วเพลงนี้ก็ขึ้นมาทันที
Emmylou - First Aid Kit
ขอแอบโปรโมตวงโปรดหน่อย วงนี้เป็นวงสองพี่น้องที่ทำชื่อเสียงให้สวีเดนค่อนข้างมาก เป็นวงโฟล์ค/คันทรี่ กึ่งป๊อปนิดๆ ทั้งคู่โตมากับครอบครัวนักดนตรีและก็เก่งมาก แนะนำให้คนที่ชอบฟังเพลงสบายๆ รับรองไม่ผิดหวัง เราฟังเพลงนี้บ่อยมากตอนอยู่สวีเดน
ระหว่างทางที่นั่งรถไฟไปเราก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ชมวิวไปเรื่อยๆ จากวิวเมืองไปเป็นวิวทุ่งหญ้า ป่าบ้าง บ้านบ้าง ดูแล้วก็เพลินๆ ดี เราเป็นนักท่องเที่ยวมือใหม่ อะไรๆ ก็ใหม่สำหรับเราเสมอ เราชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอ ประทับใจกับทุกอย่าง และยอมรับถ้าในอนาคตข้างหน้าจะเจอกับอะไรที่ทำให้ผิดหวังบ้าง เพราะมันคือชีวิตและการท่องเที่ยว เรารู้สึกสนุกกับการเรียนรู้และพบเจอ ตื่นเต้นด้วยที่จะได้เจอกับโฮสและทำงานในฟาร์ม ฟาร์มนี้เป็นฟาร์มเล็กๆ (ในโปร์ไฟล์เขียนไว้) ของครอบครัวสวีดิชที่อุปซอลา เราติดต่อกันผ่านเว็บไซต์ workaway.info และฟาร์มนี้ก็เป็นฟาร์มใหม่ที่เพิ่งสมัครเข้ามาในเว็บนี้ ทีแรกตอนเราเลือกโฮส เราเน้นหาโฮสที่มีฟีดแบ็คและคอมเมนต์ก่อนเลย เพราะเราอยากหาที่ๆ น่าเชื่อถือ ด้วยความที่เป็นมือใหม่ในเว็บนี้เหมือนกัน แต่แล้วพอวันเวลาผ่านไปและใกล้ถึงวันที่ต้องมาทุกทีๆ เรารู้สึกว่าไม่ได้การละ ถ้ามัวแต่หาโฮสที่มีฟีดแบ็ค หรือคาดหวังอะไรมากเราจะกลายเป็นไม่ได้โฮสเลย เวลากระชั้นมากแล้ว เราเลยตัดสินใจติดต่อโฮสทุกโฮสเท่าที่จะทำได้ ทุกโฮสในที่นี้หมายถึงโฮสที่เราสนใจ ที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่าโอเคกับสถานที่ เมือง และงานที่จะทำ เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าโชคดีมากที่เราได้มาทำที่อุปซอลา เพราะมันไม่ไกลจากสต๊อกโฮล์มมากและการเดินทางก็ไม่แพงเท่าเมืองอื่นที่ไกลออกไป เราเคยเกือบตกลงทำงานกับโฮสในเมืองทางเหนือไป พอแอบลองเช็คราคาตั๋วรถไฟ/รถบัสดูแล้วก็เกือบสิ้นสติ ราคาแพงมากจ้าาาาา
เราส่งข้อความหาโฮสว่าใกล้ถึงแล้ว จะถึงประมาณบ่ายสอง และโฮสก็ตอบเรามาว่ากำลังเดินทางไปรับ พวกเรามากันสามคน มีฉัน (โฮส) มีหนุ่มสเปนตัวสูง กับแฮร์รี่ (ลูกชาย) พร้อมบอกอีกว่าถ้ามาถึงแล้วให้เข้าไปนั่งรอในที่นั่งรอในสถานี เดี๋ยวเจอกัน :)
Uppsala
(the neighbour's farm house)
นั่งรถมาได้สักพักก็ถึงอุปซอลา ระยะเวลาไม่น่าเกินชั่วโมงหรืออาจน้อยกว่านั้นนิดหน่อย คงอารมณ์ประมาณนั่งรถจากกรุงเทพไปปทุม หรือสมุทรปราการอะไรทำนองนี้มั้ง จะว่าไปก็.. เร็วกว่าจากบ้านเราไปทำงานที่ทองหล่ออีก (เศร้าใจ) พอถึงเราก็ลากกระเป๋าเข้าไปนั่งรอ อุปซอลาดูจะเป็นเมืองเล็ก แต่เรายังไม่เห็นอะไรมาก นั่งรอโฮสไปก่อนด้วยความตื่นเต้นในใจเล็กๆ รู้สึกแปลกดีที่อยู่ๆ เราก็จะได้ไปอยู่บ้านใครก็ไม่รู้ที่ยังไม่รู้จัก แถมอยู่ตั้งสิบวันแน่ะ.. ความจริงแค่สิบวันเป็นเวลาไม่นานนัก ทีแรกเราอยากอยู่ที่นี่ให้ถึงสองอาทิตย์ แต่พอบวกลบคำนวณเวลาที่มีอยู่ เราดันเลือกไปอยู่อีกบ้านน้านกว่าสองสามวัน ด้วยเหตุผลว่าโปร์ไฟล์ของอีกโฮสดูจะมีฟีดแบคที่น่าไว้วางใจมากกว่า เราเลยเลือกแบบนั้น ซึ่งมารู้ตัวอีกทีตอนหลังคือคิดผิดมาก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในตอนข้างหน้า เรานั่งรอได้สักพักก็เห็นครอบครัวนึงที่เราสงสัยว่าอาจเป็นโฮสเรา เพราะมีผู้หญิงวัยกลางคน ท้วมนิดๆ มีลูกชายตัวเล็กๆ มีชายหนุ่มสูงๆ มาด้วย แต่ไม่แน่ใจนัก พอมองๆ ดูแล้วเขาก็ไม่ได้มองหาใคร เลยคิดว่าคงไม่ใช่ เราเคยเห็นรูปโฮสในเฟสบุคมาก่อนเลยพอจะจำลักษณะได้บ้าง เราเลยนั่งรอต่อไป เห็นวัยรุ่น เห็นครอบครัว บางคนกำลังลาจากกัน มีเด็กร้องไห้ คงเป็นเรื่องธรรมดาของสถานีรถไฟมั้ง คนมักจะมาจากกันตรงนี้เพื่อไปสู่ที่อื่น
นั่งเหม่อมองคิดอะไรเล่นๆ สักพักก็มีเสียงทักทายขึ้นมา “มายา” (ชื่อเราในภาษาอังกฤษ เพื่อนฝรั่งใช้เรียกกัน) เราหันไปมองก็พบกับคนสองคนมายืนตรงหน้า นั่นคือ “เปตรา” โฮสแนะนำตัวแล้วเราก็จับมือทักทายกัน “วิคเตอร์” หนุ่มสเปนตัวสูงพูดแล้วยิ้มให้เรา สูงจริงๆ ด้วยแฮะ ส่วนแฮร์รี่ลูกชายของเปตรารออยู่ที่ร้านเพื่อนใกล้ๆ บ้าน พอทักทายกันเสร็จเราก็เดินตามโฮสและวิคเตอร์ไปที่จอดรถ เปตราเป็นชาวสวีดิชที่อาศัยอยู่ที่อุปซอลา บ้านฟาร์มที่เราจะไปอยู่นั้นอยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงถึง เธอรูปร่างอวบนิดๆ ผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า น่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าหรืออาจจะห้าสิบแล้วเท่าๆ กับแม่เรา ไม่แน่ใจเหมือนกัน ท่าทางแอคทีฟและลุยๆ ตามสไตล์คนฟาร์ม ระหว่างทางเปตราชวนเราคุยเพื่อทำความรู้จัก และเล่าเรื่องต่างๆ พร้อมกับชี้นู่นนี่ให้ดูระหว่างทางที่ขับรถ เรารู้สึกตื่นเต้นและหวั่นใจเล็กน้อย เราแอบคิดว่าเปตรามีความดุอยู่นิดๆ รึเปล่านะ แล้วเราจะเข้ากับพวกเขาได้มั้ย เราจะมีความสุขมั้ย ความกลัวเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว ส่วนวิคเตอร์ เป็นหนุ่มสเปนที่มาเรียนที่สวีเดนตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา และอยากลองมาใช้ชีวิตในฟาร์มดู เขามาอยู่ที่บ้านนี้ได้เกือบเดือนแล้ว เป็นโวลันเทียร์คนแรกของบ้านนี้ เราคุยกันตลอดทางทั้งกับวิคเตอร์และเปตรา แต่ส่วนใหญ่เราคุยกับเปตรามากกว่าเพราะเรารู้สึกว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของวิคเตอร์ฟังค่อนข้างยาก อาจเป็นเพราะเขามีสำเนียงสเปนอยู่ด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ไม่นานเราก็พยายามเรียนรู้และปรับหูให้ฟังทุกๆ อย่างที่ทุกๆ คนพูดได้ง่ายขึ้น วิคเตอร์เองก็กำลังฝึกภาษาสวีดิชและพูดกับเปตราเป็นภาษาสวีดิชอยู่บ่อยๆ เรารู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเพราะอยากพูดเป็นบ้าง แต่เปตราบอกว่ามันยากมากเลยนะ ต้องใช้ความพยายามมาก ซึ่งเราก็เข้าใจได้ เพราะมันฟังดูยากเหลือเกิน
นั่งเหม่อมองคิดอะไรเล่นๆ สักพักก็มีเสียงทักทายขึ้นมา “มายา” (ชื่อเราในภาษาอังกฤษ เพื่อนฝรั่งใช้เรียกกัน) เราหันไปมองก็พบกับคนสองคนมายืนตรงหน้า นั่นคือ “เปตรา” โฮสแนะนำตัวแล้วเราก็จับมือทักทายกัน “วิคเตอร์” หนุ่มสเปนตัวสูงพูดแล้วยิ้มให้เรา สูงจริงๆ ด้วยแฮะ ส่วนแฮร์รี่ลูกชายของเปตรารออยู่ที่ร้านเพื่อนใกล้ๆ บ้าน พอทักทายกันเสร็จเราก็เดินตามโฮสและวิคเตอร์ไปที่จอดรถ เปตราเป็นชาวสวีดิชที่อาศัยอยู่ที่อุปซอลา บ้านฟาร์มที่เราจะไปอยู่นั้นอยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงถึง เธอรูปร่างอวบนิดๆ ผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า น่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าหรืออาจจะห้าสิบแล้วเท่าๆ กับแม่เรา ไม่แน่ใจเหมือนกัน ท่าทางแอคทีฟและลุยๆ ตามสไตล์คนฟาร์ม ระหว่างทางเปตราชวนเราคุยเพื่อทำความรู้จัก และเล่าเรื่องต่างๆ พร้อมกับชี้นู่นนี่ให้ดูระหว่างทางที่ขับรถ เรารู้สึกตื่นเต้นและหวั่นใจเล็กน้อย เราแอบคิดว่าเปตรามีความดุอยู่นิดๆ รึเปล่านะ แล้วเราจะเข้ากับพวกเขาได้มั้ย เราจะมีความสุขมั้ย ความกลัวเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว ส่วนวิคเตอร์ เป็นหนุ่มสเปนที่มาเรียนที่สวีเดนตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา และอยากลองมาใช้ชีวิตในฟาร์มดู เขามาอยู่ที่บ้านนี้ได้เกือบเดือนแล้ว เป็นโวลันเทียร์คนแรกของบ้านนี้ เราคุยกันตลอดทางทั้งกับวิคเตอร์และเปตรา แต่ส่วนใหญ่เราคุยกับเปตรามากกว่าเพราะเรารู้สึกว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของวิคเตอร์ฟังค่อนข้างยาก อาจเป็นเพราะเขามีสำเนียงสเปนอยู่ด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ไม่นานเราก็พยายามเรียนรู้และปรับหูให้ฟังทุกๆ อย่างที่ทุกๆ คนพูดได้ง่ายขึ้น วิคเตอร์เองก็กำลังฝึกภาษาสวีดิชและพูดกับเปตราเป็นภาษาสวีดิชอยู่บ่อยๆ เรารู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเพราะอยากพูดเป็นบ้าง แต่เปตราบอกว่ามันยากมากเลยนะ ต้องใช้ความพยายามมาก ซึ่งเราก็เข้าใจได้ เพราะมันฟังดูยากเหลือเกิน
Uppsala farm house
ระหว่างทางเราผ่านป่า บ้าน ทุ่งหญ้ามากมาย สิ่งที่เราชอบมากคือทิวทัศน์เขียวๆ เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ที่มีวัว หรือสัตว์ต่างๆ ยืนอยู่ และมีบ้านสีแดงตั้งอยู่ และถัดมาก็เป็นป่าสนต้นใหญ่ๆ เรียงกันเยอะๆ นี่แหละวิวที่คุ้นตาของสวีเดน มันดูเรียบง่ายและสวยงาม ต้นไม้มีอยู่ทุกที่และดูจะดึงดูดตาดึงดูดใจคนรักธรรมชาติอย่างเรามาก เปตราเล่าเรื่องต่างๆ ในสวีเดนให้ฟังเยอะแยะ จนในที่สุดเราก็มาหยุดที่ร้านขายของที่ไม่น่าจะไกลบ้านมาก เราลงจากรถตามทุกคนเข้ามาในร้าน ที่ร้านมีโจฮันนา (น่าจะออกเสียง โยฮันนาในภาษาสวีดิช แต่ขอเรียกแบบนี้ละกัน) เจ้าของร้านที่เพื่อนสนิทกับเปตรา แฮร์รี่ลูกชายเปตรานั่งเล่นเกมในมือถือรอ ของในร้านส่วนมากเป็นเครื่องมือช่าง พวกค้อน เลื่อย สี อะไรพวกนี้ รวมไปถึงของที่ใช้สำหรับประดิษฐ์ประดอยต่างๆ เช่นกระดาษห่อของขวัญ ริบบิ้น รวมไปถึงไหมพนมและอุปกรณ์ถักนิตติ้ง เราทักทายแฮร์รี่ที่ไม่ค่อยพูดหรือตอบสนองอะไรเรามากนัก เปตราบอกว่าน้องอาจจะอายเวลาเจอคนใหม่ๆ แต่สักพักแฮร์รี่ก็เอามือถือยื่นมาให้เราดูเกมที่น้องเล่นอยู่พร้อมกับพูดภาษาอังกฤษง่ายๆ เช่น ‘Look!’ และคำอื่นๆ เปตราบอกว่าน้องเพิ่งเริ่มหัดเรียนภาษาอังกฤษ และดูท่าทางจะไปได้ด้วยดีเลยล่ะ
เมื่อเสร็จกิจที่ร้านของโจฮันนา เราก็ขึ้นรถกัน เปตราบอกว่าจะต้องไปแวะที่ฟาร์มของเพื่อนบ้านก่อน เพื่อไปให้อาหาร ‘พอล’ ตอนนั้นเราก็งง ว่าใครคือพอล แต่พอเรามาถึงที่ฟาร์มก็เข้าใจแล้ว ว่าพอลคือเจ้าหมูตัวใหญ่ที่ร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นพวกเรามาถึง เราทึ่งกับความสวยของสไตล์บ้านแบบสวีดิช โดยเฉพาะบ้านฟาร์มที่บ้านส่วนมากจะทาด้วยสีแดง ดูเป็นเอกลักษณ์มาก นอกจากบ้านฟาร์มแล้วรอบๆ นี้ (และในเมืองอื่น) ยังมีบ้านที่เรียกกันว่า Summer House เป็นบ้านที่คนเมืองมักจะมีไว้ตามชานเมืองหรือต่างจังหวัดเพื่อเอาไว้พักผ่อนในวันหยุด แอบคิดในใจว่าบ้านที่จะมีซัมเมอร์เฮาส์ในเมืองอื่นเนี่ยคงจะต้องมีตังค์ประมาณนึงเลยแหละ เราให้อาหารหมูกันเสร็จก็เข้าไปให้อาหารแมวและกระต่ายที่อยู่ด้านใน แมวสีดำสองตัวรีบวิ่งออกมาข้างนอกเมื่อเราเปิดประตูเข้าไปกัน เปตราบอกเป็นธรรมดาของพวกมัน มันอยู่ในนั้นนานย่อมอยากออกมาวิ่งเล่น ให้ออกได้ แต่วุ่นตอนจับพวกมันเข้าที่เดิมเนี่ยแหละ เราช่วยกันกับวิคเตอร์และเปตรา วิ่งไล่ต้อนเจ้าแมวสองตัว มันไม่ได้ดื้อมาก แต่มันคงอยากเล่นอยู่ด้านนอก ในห้องที่เป็นที่อยู่ของเจ้าแมวทั้งหลายและกระต่ายคือเย็นมาก อุณหภูมิต่ำกว่าข้างนอกมาก อาจเป็นเพราะแสงแดดไม่ได้ส่องเข้ามาเยอะมาก ที่อุปซอล่าดูจะอากาศเย็นกว่าสต๊อกโฮล์มนิดนึงเท่าที่เราสังเกตดู และแล้วเราก็ขึ้นรถและมุ่งหน้าไปยังบ้าน (ฟาร์ม) ของเราสักที...
ติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้
ขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลามาอัพยาวๆ ทีเดียว แต่นี่พยายามที่สุดแล้ว
เรื่องทุกเรื่องยังคงอยู่ในหัว และจำได้ไม่ลืม รับรองเดี๋ยวกลับมาเล่า สนุกแน่นอน :)
จะว่าไป อ่านตอนก่อนหน้ารึยังเอ่ยยย
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
ตอนที่ 1-2
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_7.html
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_9.html
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
ติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้
ขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลามาอัพยาวๆ ทีเดียว แต่นี่พยายามที่สุดแล้ว
เรื่องทุกเรื่องยังคงอยู่ในหัว และจำได้ไม่ลืม รับรองเดี๋ยวกลับมาเล่า สนุกแน่นอน :)
จะว่าไป อ่านตอนก่อนหน้ารึยังเอ่ยยย
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
ตอนที่ 1-2
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_7.html
ตอนที่ 1-3 (เรื่องรักๆ ตอนแรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1_9.html
ตอนที่ 1-4 (เรื่องรักๆ ตอนที่สอง)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/part-2-stories-of-wild-heart-in.html
MJ the Random Journey - Europe : Sweden PART 1-2 : Stockholm (ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรปคนเดียว 40 วัน ภาค 1-2 สวีเดน : สต๊อกโฮล์ม)
Sweden September 07, 2015
MJ the Random Journey in Europe
"Sweden" PART 1-2
วันที่สองที่สต๊อกโฮล์ม เดินๆ เที่ยวๆ
และค้างคืนกับคนแปลกหน้าจาก couchsurfing!
all goes in Thai language :)
และค้างคืนกับคนแปลกหน้าจาก couchsurfing!
all goes in Thai language :)
วันนี้รีบตื่นแต่เช้าเพราะมีนัดกับเพื่อนใหม่คนนึงที่ติดต่อกันทาง couchsurfing.com แต่เป็นหนึ่งในคนที่ติดต่อกันเพื่อไปเที่ยว ไม่ได้ไปค้างคืน (คนที่จะไปค้างด้วยจะเจอกันตอนเย็น) คนนี้เป็นป้าชื่อไอด้า อายุประมาณห้าสิบกว่าๆ เลยขอเรียกป้าหน่อยเนอะ แหะๆ เท่าที่เราอ่านโปร์ไฟล์และเรฟฯ ของป้าในเว็บ ดูจะมีคนชอบเยอะและป้าก็พาคนเที่ยวมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ก่อนหน้าที่เราจะมาถึงสต๊อกโฮล์มป้าก็ช่วยหาข้อมูลและส่งเว็บไซต์ของมิวเซียมและสถานที่ต่างๆ ให้เราได้ทำการบ้าน และทุกข้อมูลมีประโยชน์และช่วยได้เยอะมากสำหรับคนมาเที่ยวคนเดียวแบบเรา เรานัดกันที่ Wasa Museum อยู่บนเกาะที่ชื่อ Djurgarden ตอนสิบโมง แต่พอไปถึงก็พบว่าวาซ่ามิวเซียมคนต่อคิวเข้าเยอะมากกก แถวยาวมากกกกจนเรารู้สึกว่าขี้เกียจรอ
ป้าเลยบอกว่างั้นเราไปที่อื่นกัน ระหว่างนี้เราก็เดินเล่นกันไปก่อน Djurgarden สวยมาก เราเดินเล่นกันริมน้ำ ป้าชอบเล่านู่นนี่ให้ฟัง ชี้นู่นนี่ว่านี่คืออะไร เรือนี้คืออะไร มีใครอยู่บ้าง เราชอบที่สต๊อกโฮล์มมีเรือเยอะแยะ และคนก็อยู่ในนั้นจริงๆ เรือบางลำก็เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เราไม่ได้เข้าไปดู
เราเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เดินผ่าน ABBA Museum แอบกรี๊ดเบาๆ จริงๆ ชอบมาก แต่เราเข้าไปดูแค่ในช็อป ซึ่งของแพงมาก และไม่ได้เข้าไปดูในส่วนของมิวเซียม แอบรู้สึกว่าจะกลับมาดูในวันข้างหน้า แล้วเราก็เดินผ่านสวนสนุกที่ชื่อ Gröna Lund และไปขึ้นเรือข้ามฟากเพื่อจะไปยังเกาะที่ชื่อว่า Skeppsholmen
Nordiska Museet
ป้าเลยบอกว่างั้นเราไปที่อื่นกัน ระหว่างนี้เราก็เดินเล่นกันไปก่อน Djurgarden สวยมาก เราเดินเล่นกันริมน้ำ ป้าชอบเล่านู่นนี่ให้ฟัง ชี้นู่นนี่ว่านี่คืออะไร เรือนี้คืออะไร มีใครอยู่บ้าง เราชอบที่สต๊อกโฮล์มมีเรือเยอะแยะ และคนก็อยู่ในนั้นจริงๆ เรือบางลำก็เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เราไม่ได้เข้าไปดู
so many ships
but not to wreck!
view from ferry
เราเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ เดินผ่าน ABBA Museum แอบกรี๊ดเบาๆ จริงๆ ชอบมาก แต่เราเข้าไปดูแค่ในช็อป ซึ่งของแพงมาก และไม่ได้เข้าไปดูในส่วนของมิวเซียม แอบรู้สึกว่าจะกลับมาดูในวันข้างหน้า แล้วเราก็เดินผ่านสวนสนุกที่ชื่อ Gröna Lund และไปขึ้นเรือข้ามฟากเพื่อจะไปยังเกาะที่ชื่อว่า Skeppsholmen
พอเราข้ามฟากมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยัง Museum of Modern Art ข้างในมีงานศิลปะหลากหลายและโมเดิร์นจริงๆ เราอ่านรีวิวมา หลายคนไม่ชอบ แต่เรารู้สึกว่าโอเค ไม่ได้ปลื้มมากแต่เราก็ชอบ เดินดูเพลินๆ ดี ค่าเข้ามิวเซียมของที่นี่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 100 - 120 SEK (คูณสี่เป็นเงินไทย) ทุกที่ เราใช้บัตรนักเรียนที่ไปทำมาที่ถนนข้าวสาร ใช้ลดได้เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ลดเท่าไหร่ก็แล้วแต่มิวเซียมแต่ละที่ แต่มีประโยชน์ ใครที่จะไปเที่ยวเมืองนอกแนะนำให้ทำอย่างที่เค้าว่า คุ้มจริงๆ ฮ่าๆ
หลังจากเดินดูที่นี่เสร็จเราก็ไปหาอะไรกินกันในเมือง ไปในย่านแถวๆ T-Centralen น่าจะเรียกได้ว่าเป็นย่านใจกลางเมือง มีร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย พอกินเสร็จเราก็เดินเล่นแถวๆ นั้นนิดหน่อย เราเจอร้านซีดีเลยรีบเข้าไปด้วยความดีใจ เพราะด้วยความบ้าดนตรีของเราแล้วย่อมอยากมาแสวงหาที่เมืองนอก ร้านซีดีเมืองไทยมีเพลงไม่ค่อยหลากหลายและค่อนข้างตลาด มานี่เลยกวาดซีดีของศิลปินที่ชอบกลับไปหลายแผ่นอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนซีดีจะเป็นสิ่งเดียวที่เรายอมควักตังค์ออกมาจ่ายโดยไม่ต้องคำนวณหรือคิดอะไรมากเลย เพราะเราชอบจริงๆ
พอซื้อเสร็จแล้วเรามีเวลาไม่มากนักเพราะอีกไม่นานก็จะเย็นแล้ว เราเลยไปต่อกันที่ Museum of Medieval Stockholm ที่นี่เข้าฟรี และดีมากๆ เราชอบมาก เป็นมิวเซียมที่บอกเล่าถึงความเป็นเมดิวัล และสวีเดนในยุคเมดิวัล มิวเซียมทำดีและเพลิดเพลินมาก เราอยู่ในนั้นประมาณชั่วโมงกว่าๆ ได้ แล้วก็ออกมา
ตอนนั้นฝนทำท่าว่าจะตก ป้าไอด้าเลยหยิบเสื้อกันฝนออกมา 2 ตัว ป้าแกบอกว่าเอามาเผื่อเรา ป้าใจดีและรอบคอบมาก แต่ในที่สุดฝนก็ไม่ตกและเราก็ไม่ได้ใช้ ป้าพาเราลงซับเวย์ไปดูศิลปะของสถานีต่างๆ บางสถานีที่นี่จะมีการประดับตกแต่งในรูปแบบต่างๆ กันไป สวยงามและแปลกตามาก แต่เสียตรงไม่ค่อยมีแสงเท่าไหร่ ในซับเวย์จะมืดๆ แต่ของจริงสวยและมีธีมและความเป็นมาไม่เหมือนกันในแต่ละสถานี พอเสร็จแล้วป้าก็พามาลงที่สถานี Hotorget ที่พักของเรานั่นเอง ป้าพาเดินไปดูโรงโอเปร่าที่มีการแสดงคอนเสิร์ทเล็กๆ อยู่ เป็นหนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นมาร้องเพลง คนดูก็ไม่น้อยเลย เราไม่มีเวลามากเลยไม่ได้นั่งดู ด้านนอกมีตลาดขายของมือสอง ป้าบอกว่าวันนี้ไม่ค่อยมีอะไร ปกติบางวันจะมีของเจ๋งๆ มาขาย แต่วันนี้กากๆ ป้าบอก เราเลยไม่ได้เดินดู จนป้าเดินพาไปส่งแถวๆ โฮสเทล เราบอกลากันเล็กน้อยและขอบคุณในความใจดีของป้าไอด้า ดีใจมากๆ ที่ได้เจอคนดีๆ อีกหนึ่งคน ได้มีคนพาเที่ยวและเพื่อนคุยทำให้หายเหงา
เรากลับเข้าโฮสเทลแล้วนั่งพักไม่นานก็รีบออกมา วันนี้เช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะเย็นนี้เรามีนัดกับมิแรนด้า เพื่อนใหม่อีกคนที่จะไปค้างที่บ้านเธอ เราตกลงกันว่าจะไปค้างสองคืน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีมาก ใครที่ไม่เคยเราแนะนำให้ลองใช้ couchsurfing.com รับรองว่าดี ประหยัด ส่วนเรื่องปลอดภัยอันนี้ต้องดูเอง เราต้องดูจาก reference ของเค้าว่ามีใครมาเขียนอะไรยังไงบ้าง แต่การมีเรฟเยอะก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป (เพื่อนบอกมาอีกที) แต่จากที่เราเจอมา ถ้าเราดูดีๆ คุยกับเค้าดีๆ ตกลงกันดีๆ ทุกอย่างโอเคค่ะ
หลังจากเดินดูที่นี่เสร็จเราก็ไปหาอะไรกินกันในเมือง ไปในย่านแถวๆ T-Centralen น่าจะเรียกได้ว่าเป็นย่านใจกลางเมือง มีร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย พอกินเสร็จเราก็เดินเล่นแถวๆ นั้นนิดหน่อย เราเจอร้านซีดีเลยรีบเข้าไปด้วยความดีใจ เพราะด้วยความบ้าดนตรีของเราแล้วย่อมอยากมาแสวงหาที่เมืองนอก ร้านซีดีเมืองไทยมีเพลงไม่ค่อยหลากหลายและค่อนข้างตลาด มานี่เลยกวาดซีดีของศิลปินที่ชอบกลับไปหลายแผ่นอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนซีดีจะเป็นสิ่งเดียวที่เรายอมควักตังค์ออกมาจ่ายโดยไม่ต้องคำนวณหรือคิดอะไรมากเลย เพราะเราชอบจริงๆ
what I ate
Tove Styrke, I'm a fan! haha!
พอซื้อเสร็จแล้วเรามีเวลาไม่มากนักเพราะอีกไม่นานก็จะเย็นแล้ว เราเลยไปต่อกันที่ Museum of Medieval Stockholm ที่นี่เข้าฟรี และดีมากๆ เราชอบมาก เป็นมิวเซียมที่บอกเล่าถึงความเป็นเมดิวัล และสวีเดนในยุคเมดิวัล มิวเซียมทำดีและเพลิดเพลินมาก เราอยู่ในนั้นประมาณชั่วโมงกว่าๆ ได้ แล้วก็ออกมา
ตอนนั้นฝนทำท่าว่าจะตก ป้าไอด้าเลยหยิบเสื้อกันฝนออกมา 2 ตัว ป้าแกบอกว่าเอามาเผื่อเรา ป้าใจดีและรอบคอบมาก แต่ในที่สุดฝนก็ไม่ตกและเราก็ไม่ได้ใช้ ป้าพาเราลงซับเวย์ไปดูศิลปะของสถานีต่างๆ บางสถานีที่นี่จะมีการประดับตกแต่งในรูปแบบต่างๆ กันไป สวยงามและแปลกตามาก แต่เสียตรงไม่ค่อยมีแสงเท่าไหร่ ในซับเวย์จะมืดๆ แต่ของจริงสวยและมีธีมและความเป็นมาไม่เหมือนกันในแต่ละสถานี พอเสร็จแล้วป้าก็พามาลงที่สถานี Hotorget ที่พักของเรานั่นเอง ป้าพาเดินไปดูโรงโอเปร่าที่มีการแสดงคอนเสิร์ทเล็กๆ อยู่ เป็นหนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นมาร้องเพลง คนดูก็ไม่น้อยเลย เราไม่มีเวลามากเลยไม่ได้นั่งดู ด้านนอกมีตลาดขายของมือสอง ป้าบอกว่าวันนี้ไม่ค่อยมีอะไร ปกติบางวันจะมีของเจ๋งๆ มาขาย แต่วันนี้กากๆ ป้าบอก เราเลยไม่ได้เดินดู จนป้าเดินพาไปส่งแถวๆ โฮสเทล เราบอกลากันเล็กน้อยและขอบคุณในความใจดีของป้าไอด้า ดีใจมากๆ ที่ได้เจอคนดีๆ อีกหนึ่งคน ได้มีคนพาเที่ยวและเพื่อนคุยทำให้หายเหงา
Stockholm, the apple of my eye
เรากลับเข้าโฮสเทลแล้วนั่งพักไม่นานก็รีบออกมา วันนี้เช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะเย็นนี้เรามีนัดกับมิแรนด้า เพื่อนใหม่อีกคนที่จะไปค้างที่บ้านเธอ เราตกลงกันว่าจะไปค้างสองคืน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีมาก ใครที่ไม่เคยเราแนะนำให้ลองใช้ couchsurfing.com รับรองว่าดี ประหยัด ส่วนเรื่องปลอดภัยอันนี้ต้องดูเอง เราต้องดูจาก reference ของเค้าว่ามีใครมาเขียนอะไรยังไงบ้าง แต่การมีเรฟเยอะก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป (เพื่อนบอกมาอีกที) แต่จากที่เราเจอมา ถ้าเราดูดีๆ คุยกับเค้าดีๆ ตกลงกันดีๆ ทุกอย่างโอเคค่ะ
เรานัดเจอกับมิแรนด้าที่สถานี St.Eriksplan ซึ่งอยู่ห่างจากเราแค่ 2 สถานี พอมิแรนด้ามาถึงเราก็กอดกันตามธรรมเนียม แอบอึ้งในความสวยของนางเล็กน้อย คือสวยมากกกกกกกกกกกกก สวยแบบแอบกรี๊ดในใจเบาๆ แต่ก็ทำนิ่งๆ ไว้ มิแรนด้าน่ารัก ยิ้มแย้ม แต่ก็ดูเป็นคนเงียบๆ เธอพาเราเดินไปที่พักของเธอซึ่งไม่ไกลจากสถานีมาก ประมาณ 5 นาทีก็ถึง เธอบอกว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองไทย ไปเที่ยวมาแถวเกาะทางภาคใต้ เราถามว่าชอบเมืองไทยมั้ย เธอบอกว่าชอบ แต่แอบบ่นที่พอคนไทยเห็นว่าเป็นฝรั่งแล้วก็โดนชาร์จราคาอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด ซึ่งเราก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่กล้าพูดอะไรต่อเพราะมันคือความจริง ฮ่าๆ พอมาถึงบ้าน มิแรนด้าก็แนะนำห้องต่างๆ ห้องครัว ห้องนอน เธออยากนอนตรงไหน มีในห้อง และนอกห้อง เป็นโซฟาที่กางออกมาเป็นเตียงได้ เราบอกว่านอนข้างนอกก็ได้ เกรงใจเธอ แต่ในที่สุดเธอก็ให้เรานอนในห้องซึ่งเป็นเตียงใหญ่น่านอน เธอปูผ้าปูที่นอนและใส่ปลอกหมอนให้เรา ซึ่งเรายิ่งเกรงใจเข้าไปใหญ่ เลยช่วยเธออีกแรง และพอทุกอย่างเข้าที่แล้วเธอก็ขอตัวนั่งทำงานและอ่านหนังสือเตรียมสอบ เราเลยไปนั่งเล่นคอมในครัว ตอนนั้นแอบรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะบางครั้งเธอเงียบมาก เงียบจนเราเกรงใจมากกกก เรามาขอเค้าอยู่เราเลยไม่กล้าทำอะไรมาก แต่นั่งพักนั่งเล่นได้สักสองชั่วโมง เธอก็ถามว่าหิวมั้ย ออกไปหาอะไรกินกัน เราเลยไป
อีกเรื่องที่ฟังดูงี่เง่าที่สุดทำหรับเราคือ เราเลือกมากินที่ร้านซูชิ (แทนที่จะอยากกินอาหารเค้าเนอะ) แต่เราอยากกินมาก ตามประสาคนไทยมั้งที่โหยหาอาหารคาว เผ็ด รสจัดตลอดเวลา ก็มีแต่อาหารญี่ปุ่นเนี่ยแหละที่รสชาติค่อนข้างจะใกล้เคียงกับอาหารไทย เราเลยไปกินและสั่งชุดปลาดิบมาประมาณห้าร้อยเกือบหกร้อยบาทไทย.... จ้าาาา แต่ก็รู้สึกว่าเค้าให้เยอะคุ้มเหมือนกัน มิแรนด้าสวยจนเราเขินมากกินอะไรไม่ค่อยลง (นี่ก็บ้า) จนในที่สุดก็กินเหลือและขอเค้าห่อกลับบ้านมา พอกลับมาบ้านมิแรนด้าก็ถามว่าอยากไปไหนมั้ย มีที่ไหนอยากดูหรืออยากให้พาไปเป็นพิเศษมั้ย เราเลยบอกว่างั้นไปเดินเล่นแถวๆ นี้ได้มั้ย เธอเลยตอบตกลงแล้วพาเราออกไปเดินเล่น
ระหว่างทางเราเดินเล่นที่ริมน้ำ แถวนี้มีเรือเต็มไปหมด มิแรนด้าบอกว่าเรือพวกนี้เป็นเรือของพวกคนที่มีตังค์และซื้อเรือเอาไว้ไปเที่ยวช่วงหน้าร้อน หรือช่วงวันหยุด ที่นี่เลยเป็นที่จอดเรือของพวกเค้า เราเดินไปเรื่อยๆ เลาะริมน้ำไป เห็นคนมาวิ่ง ขี่จักรยาน หรือแม้กระทั่งว่ายน้ำ!? เราแอบงงที่มีคนมาว่ายน้ำในตอนนี้ ตอนสามทุ่มที่ท้องฟ้ายังสว่างสดใส แต่ก็ใกล้มืด มิแรนด้าหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แล้วพูดทำนองว่าพรุ่งนี้มาลองว่ายกันดูมั้ยล่ะ น่าสนใจดีเหมือนกัน น้ำท่าทางจะเย็น เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนเจอที่ๆ นึงเป็นใต้สะพาน เป็นพื้นที่ๆ เค้าเลี้ยงกระต่ายเอาไว้เยอะมาก น่ารักมากๆ
มิแรนด้าบอกกระต่ายพวกนี้มันมาเอง เค้าเลยเลี้ยงไว้และให้อาหารมันกินทุกวัน เรายืนดูกระต่ายกันอยู่สักพัก ดูแล้วเพลินมาก หนึ่งในนั้นมีลูกกระต่ายตัวจิ๋วกระโดดไปมา เราสองคนพูดกันว่าอยากเอามันไปเลี้ยง เราบอกให้เธอเอาไปเลี้ยง แต่แล้วก็หัวเราะกันเบาๆ เพราะไม่รู้จะเอาไปเลี้ยงยังไง จนในที่สุดเราก็เดินกลับบ้านกัน คืนนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมาก มิแรนด้าดูจะโฟกัสกับการสอบของเธอเราเลยไม่อยากรบกวนมาก แค่ให้เรามาพักก็ดีมากแค่ไหนแล้ว เธอถามเราว่าตอนเช้าอยากกินอะไร เราบอกว่าไม่รู้ ไม่กินก็ได้เพราะเราไปหากินเองได้ เธอไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเราแยกย้ายกันไปนอนในที่สุด
ระหว่างทางเราเดินเล่นที่ริมน้ำ แถวนี้มีเรือเต็มไปหมด มิแรนด้าบอกว่าเรือพวกนี้เป็นเรือของพวกคนที่มีตังค์และซื้อเรือเอาไว้ไปเที่ยวช่วงหน้าร้อน หรือช่วงวันหยุด ที่นี่เลยเป็นที่จอดเรือของพวกเค้า เราเดินไปเรื่อยๆ เลาะริมน้ำไป เห็นคนมาวิ่ง ขี่จักรยาน หรือแม้กระทั่งว่ายน้ำ!? เราแอบงงที่มีคนมาว่ายน้ำในตอนนี้ ตอนสามทุ่มที่ท้องฟ้ายังสว่างสดใส แต่ก็ใกล้มืด มิแรนด้าหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แล้วพูดทำนองว่าพรุ่งนี้มาลองว่ายกันดูมั้ยล่ะ น่าสนใจดีเหมือนกัน น้ำท่าทางจะเย็น เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนเจอที่ๆ นึงเป็นใต้สะพาน เป็นพื้นที่ๆ เค้าเลี้ยงกระต่ายเอาไว้เยอะมาก น่ารักมากๆ
can you see the rabbits?
somewhere in St.Eriksplan
มิแรนด้าบอกกระต่ายพวกนี้มันมาเอง เค้าเลยเลี้ยงไว้และให้อาหารมันกินทุกวัน เรายืนดูกระต่ายกันอยู่สักพัก ดูแล้วเพลินมาก หนึ่งในนั้นมีลูกกระต่ายตัวจิ๋วกระโดดไปมา เราสองคนพูดกันว่าอยากเอามันไปเลี้ยง เราบอกให้เธอเอาไปเลี้ยง แต่แล้วก็หัวเราะกันเบาๆ เพราะไม่รู้จะเอาไปเลี้ยงยังไง จนในที่สุดเราก็เดินกลับบ้านกัน คืนนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมาก มิแรนด้าดูจะโฟกัสกับการสอบของเธอเราเลยไม่อยากรบกวนมาก แค่ให้เรามาพักก็ดีมากแค่ไหนแล้ว เธอถามเราว่าตอนเช้าอยากกินอะไร เราบอกว่าไม่รู้ ไม่กินก็ได้เพราะเราไปหากินเองได้ เธอไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเราแยกย้ายกันไปนอนในที่สุด
god natt Stockholm!
to be continue on the next episode!
โปรดติดตามตอนต่อไป..
จะว่าไป อ่านตอนก่อนหน้ารึยังเอ่ยยย
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html
จะว่าไป อ่านตอนก่อนหน้ารึยังเอ่ยยย
ตอนที่ 0 (แรกสุด)
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-0.html
ตอนที่ 1-1
http://mayajett.blogspot.com/2015/09/mj-random-journey-europe-sweden-part-1.html